ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเราก็ยังจะหนีไม่พ้นเรื่องเล่าลี้ลับ ตำนาน สิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รอบตัว แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะสามารถสัมผัสได้ หรือแม้ว่ามันจะดูเกินจริงไปมากโข แต่ภายในใจของใครหลายคน ก็ยังคงหวังว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง และพวกเขาจะได้สัมผัสกับประสบการณ์น่าอัศจรรย์ใจเหล่านั้นด้วยตัวของตัวเอง การเจอหนังสือเล่มนี้ของผมก็ถือว่าเป็นความน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งแล้วล่ะครับ สถานที่ที่ผมไปเจอกับมันไม่ใช่ที่มหกรรมหนังสือ ไม่ใช่ที่ร้านหนังสือหรือห้องสมุดทั่วไป กลับกลายเป็นว่าผมได้ไปเจอกับหนังสือเล่มนี้ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ที่ร้านกาแฟแห่งนี้มีการนำผลงานของคุณมาลา คำจันทร์วางขายอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องนี้ ซึ่งเหลืออยู่เพียงเล่มเดียวในร้าน บอกได้เลยครับว่าผมซื้อมาเพราะมันเป็นงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องลึกลับล้วน ๆ ไหนใครว่าเราไม่ควรเลือกหนังสือจากปก ผมนี่แหละครับ ที่จะเลือกหนังสือจากปกไปแล้วเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา พลิกดูปกหน้าปกหลัง เปิดเข้าไปดูเนื้อหาภายในเพียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเนื้อหาน่าสนใจ ราคาจับต้องได้ จึงตัดสินใจซื้อในทันที ดีไซน์ของหนังสือเล่มนี้ใช้พื้นหลังของทั้งปกและสันหนังสือเป็นสีกรมท่า ตัวอักษรที่ต้องการเน้นเป็นสีเขียว แล้วตัวอักษรอื่น ๆ เป็นสีขาว การเขียนคำโปรยด้านหลังก็น่าสนใจไม่น้อย ส่วนรูปหน้าปกแสดงให้เห็นภาพของคนประมาณสามคนนั่งพูดคุยสุมไฟอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีการสร้างห้างไว้ข้างบน ทั้งการใช้โทนสีและลักษณะการวาดเขียนทำให้ผมนึกถึงผลงานชื่อดังของศิลปินชาวตะวันตกท่านหนึ่ง "วินเซนต์ แวน โก๊ะ" นั่นเองครับ และผลงานนั้นที่ผมคุ้นเคยก็คือ ผลงาน "ราตรีประดับดาว" ที่เป็นรูปของเมือง ภูเขา และดวงดาวเต็มท้องฟ้า ในส่วนของเนื้อเรื่อง ไม่รู้ว่าเรื่องต่าง ๆ ในหนังสือนี้เป็นเรื่องจริงเท็จแค่ไหน แต่ก็อย่างที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวไว้ว่า เขาเพียงรวบรวมเรื่องราวลี้ลับที่เคยได้ฟังมารวมไว้เท่านั้น เพื่อที่จะให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงตำนานในที่ที่เขาอยู่ โดยที่เขาไม่อาจรู้ได้ว่ามีส่วนไหนที่เสริมเติมแต่งไปบ้าง อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากเท่านั้น เรื่องเล่าในดงลึกถูกแบ่งออกเป็นหลากหลายเรื่องย่อย เรื่องย่อยบางเรื่องก็มีการปะติปะต่อโดยมีตัวผู้เขียนเองเป็นศูนย์กลางการดำเนินเรื่อง บางเรื่องก็ได้มาจากคนรู้จักโดยตรง บางเรื่องก็เป็นตำนานที่คนในพื้นที่กล่าวขานกันมานานแล้ว ตั้งแต่ที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน ผมก็ได้ตระหนักว่าเรื่องลี้ลับที่ผมเคยฟังนั้น ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเรื่องราวที่อยู่ภายในหนังสือเล่มนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องเล่าที่เก่าแก่สำหรับผู้คนในบางพื้นที่ แต่นี่คือเรื่องเล่าใหม่สำหรับผม ไม่เพียงแต่รู้ถึงเรื่องลึกลับต่าง ๆ แต่ด้วยการเขียนของผู้เขียนนั้น ทำให้ผมได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่นั่นไปในตัว การอธิบายฉากแต่ละฉากของเขาทำได้เป็นอย่างดี ด้วยสำนวนการใช้คำพูด การใช้คำพูดว่า "ดูนั่นสิ", "มองข้างหน้าไว้นะ", "ถึงแล้ว" หรืออะไรทำนองนั้น ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังดูสารคดีอะไรบางอย่างอยู่ อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า ผมได้มีส่วนร่วมในการเดินทางไปกับผู้เขียนด้วย เหมือนกับว่าเขาคุยกับผมจริง ๆ นี่ถ้าเปลี่ยนจากตัวหนังสือเป็นภาพได้ ผมว่าผมคงหลุดไปเดินทางร่วมกับเขาจริง ๆ แน่เลยครับ นี่แหละคือเสน่ห์ของการอ่านหนังสือที่ผมชอบ มีการใส่รายละเอียดให้ผู้อ่านได้จินตนาการตาม แต่ก็ยังหลงเหลือที่ว่างพอจะให้ผู้อ่านได้คิดภาพในหัวได้ด้วยตนเอง หนังสือเล่มนี้อ่านเพลินมากเลย แม้ว่าผมจะอ่านมาแล้วรอบนึง แต่ผมก็ยังคงอ่านต่ออยู่เรื่อย ๆ หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นหนังสืออีกเรื่องที่ผมชอบพกไปไหนมาไหนด้วย ในกรณีที่ผมคิดไว้แล้วว่าต้องมีเวลาว่างเหลือมาก แต่ก็ไม่อยากที่จะเล่นโทรศัพท์ให้แบตเตอรี่หมดไปเสียก่อน ผมก็จะพกหนังสือเล่มนี้ไปด้วยครับ โดยภาพรวมแล้ว แม้มันจะไม่ใช่หนังสือแนวไซไฟหรือแฟนตาซีที่ผมชอบอ่าน แต่ด้วยความลึกลับของเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ถูกนำมารวมกันไว้ในหนังสือเล่มเดียว ก็พอที่จะสะกดไม่ให้ผมละสายตาไปจากหน้ากระดาษได้เลย นี่ถือว่าเป็นหนังสือดี ๆ อีกเล่มนึงเลยครับเครดิตภาพภาพปก และภาพประกอบบทความถ่ายโดยผู้เขียนเครดิตหนังสือหนังสือเรื่อง "เรื่องเล่าจากดงลึก"ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปีพ.ศ. 2534จาก สำนักพิมพ์เคล็ดไทยเขียนโดย คุณมาลา คำจันทร์เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !