จากสถานการณ์โควิดที่เพิ่งเริ่มคลี่คลายลง แต่เรายังคงต้องใช้ชีวิต New normal อยู่ในระหว่างที่รอผลิตวัคซีน ซึ่งนอกจากต้องสวมใส่หน้ากากปิดปากและจมูกแล้ว ในเรื่องของสุขอนามัยก็สำคัญไม่น้อย เพราะเรามักไม่รู้ตัวว่าเอามือไปจับแตะอะไรมาบ้าง และพื้นผิวที่เราสัมผัสทั้งในบ้าน ที่ทำงานหรือห้องเรียน พื้นผิวที่มีการใช้งานร่วมกับคนอื่น เช่น โต๊ะ ประตู ปากกา หนังสือ ชั้นวางของ ฯลฯ และพื้นที่เหล่านั้นต้องมีการทำความสะอาดเพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ วันนี้จะมาเล่าเรื่องน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ค่ะ ว่าสารฆ่าเชื้อโรคมีกี่แบบ อะไรบ้าง น้ำยาอะไรบ้างที่สามารถฆ่าไวรัสโคโรน่าได้ และสามารถหาได้ทั่วไปหรือไม่ เริ่มจากเราต้องรู้ส่วนประกอบคร่าวๆ ของเจ้าเชื้อตัวนี้กันก่อนแบบคร่าวๆ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเจ้าเชื้อโรคโควิด-19 นี้เป็นเชื้อไวรัส ไวรัสส่วนใหญ่จะมี DNA หรือ RNA ซึ่งเป็นพวกโปรตีนและเป็นสารพันธุกรรม (nucleic acid) ที่จะทำให้มันสามารถมีชีวิตอยู่รอดและแพร่พันธุ์ได้ต่อไป และมีโปรตีนอีกส่วนเปรียบเหมือนเปลือกหุ้มส่วน DNA เอาไว้ เขาเรียกว่า capsid นอกจากนี้ก็ยังมีเปลือกอีกชั้นเป็นชั้นนอกสุด เขาเรียกกันว่า envelope ซึ่งมีไขมันเป็นส่วนประกอบ เป็นส่วนที่ใช้แบ่งไวรัสออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ไวรัสที่ไม่มีส่วนนี้ กับ ไวรัสที่มีส่วนนี้ โดยโคโรน่าไวรัสจัดว่าเป็นไวรัสที่มีส่วนไขมันนี้ห่อหุ้มด้วย เขาเรียกว่าเป็น envelope virus โดยไวรัสที่อยู่ในกลุ่มนี้จะถูกสารฆ่าเชื้อหรือสารเคมีต่างๆ ทำลายได้ง่ายกว่ากลุ่มที่ไม่มี envelope นั่นหมายความว่า โคโรน่าไวรัสฆ่าได้ง่ายด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ง่ายกว่าแบคทีเรียก่อโรคตัวอื่นๆ ด้วยซ้ำไป โดยทั่วไปน้ำยาฆ่าเชื้อจะแบ่งตามทางเคมีอย่างได้หลายแบบ แต่ที่นิยมและคัดมาให้ความรู้เล็กๆ น้อยๆ สามารถเดินเข้าไปใน 7-11 หรือร้านซุเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปแล้วซื้อมาใช้งานได้เลย มีดังนี้ค่ะ 1. แอลกอฮอล์ เป็นพระเอกของเรื่องนี้เลยทีเดียว เพราะถือว่าเป็นสารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพดี ราคาถูกและปลอดภัยที่สุด ข้อเสียของแอลกอฮอล์เห็นทีจะมีแค่ทำให้ผิวหนังแห้งเท่านั้น แอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70% เป็นความเข้มข้นที่ดีที่สุดและเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อได้แล้ว แต่ตรงนี้ต้องระวังในการเตรียมเวลาผสมกับเจลหรือน้ำนะคะ ความเข้มข้นสุดท้ายที่ผสมแล้วจะต้องเป็น 70% หากน้อยไป เชื้อโรคบางชนิดอาจทนได้และไม่ตาย แล้วหากสูงเกินไป จะระเหยง่าย ก็จะ...เปลืองนั่นเอง อีกประการหนึ่งคือ แอลกอฮอล์แม้จะไม่ใช่สารกัดกร่อนแต่เป็นสารไวไฟ สมมุติว่าเราเตรียมแอลกอฮอล์โดยไม่ได้เจือจางความเข้มข้นเลย (โดยปกติประมาณ 95%) ใส่ขวดสเปรย์พลาสติกพกติดตัวไว้ขึ้นรถลงเรือ ท่ามกลางอุณหภูมิของประเทศไทยและหากมีประกายไฟเกิดขึ้น ก็เดาไม่ยากว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป กลไกของแอลกอฮอล์นี้จะไปละลายไขมันที่เป็นส่วน envelope ของโคโรน่าไวรัส และทำให้โปรตีนหรือ DNA เสียสภาพและทำให้ไวรัสตายในที่สุด 2. สารประกอบคลอรีน เป็นสารฆ่าเชื้ออีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากฆ่าเชื้อได้หลากหลายและราคาไม่แพง เราจะได้ยินกันมากในการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อในการผลิตน้ำประปา หรือเติมลงไปในสระว่ายน้ำ จริงๆ สารพวกคลอรีนมีหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้ แต่ที่เราคุ้นเคยและรู้จักกันดีคือคลอรีนที่อยู่ในรูปของ “โซเดียมไฮโปคลอไรท์” หรือที่เราเรียกกันว่าน้ำยาฟอกขาว หลายคนอาจยังไม่คุ้น งั้นถ้าพูดว่าไฮเตอร์ที่เอาไว้ซักผ้าขาว ก็คงพอจะร้องอ๋อ สารนี้ก็อาจมีอยู่ในพวกน้ำยาที่เอาไว้ทำความสะอาดสุขภัณฑ์ต่างๆ หรือน้ำยาล้างห้องน้ำด้วย เราสามารถอ่านส่วนประกอบจากฉลากข้างขวดได้เลยว่ามีโซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นสารฆ่าเชื้อหลักหรือไม่ กลไกฆ่าเชื้อของสารตัวนี้จะทำลายส่วนโปรตีนของเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือคลอรีนเป็นสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก ทั้งเหล็กโลหะและสแตนเลส แน่นอนว่าต้องทำให้เกิดการระคายเคืองหากสัมผัสผิวหนัง ดังนั้นหากอยากจะเอาไฮเตอร์มาใช้ฆ่าเชื้อแทนแอลกอฮอล์แล้วล่ะก็ เราต้องทำการเจือจางเพื่อความปลอดภัยเสียก่อน โดยความเข้มข้นเพียง 0.1-0.5% ก็สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าได้แล้ว ซึ่งไฮเตอร์ที่เราซื้อมาจากร้านค้าจะมีโซเดียมไฮโปคลอไรท์ความเข้มข้น 6% (น้ำยาล้างสุขภัณฑ์บางยี่ห้อมี 3%) ถือว่าเข้มข้นสูง มีกลิ่นฉุน จึงควรใช้อย่างระมัดระวังนะคะ 3. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เราคุ้นเคยกันดีว่าเอาไว้ใช้สำหรับล้างแผล ส่วนใหญ่มักใช้ฆ่าเชื้อในทางการแพทย์เนื่องจากมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงมาก โดยกลไกจะไปทำลายทั้งไขมัน DNA และโปรตีนของเชื้อก่อโรค จุดเด่นของสารนี้คือไม่มีสารพิษตกค้างจากการใช้งาน เพราะสลายตัวเหลือเพียงออกซิเจนกับน้ำเท่านั้น ถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้สารพวกคลอรีน แถมยังไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้ และระคายเคืองผิวหนังของเรา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ระคายเคืองเลยนะคะ หากใช้ความเข้มข้นสูงก็เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ได้เหมือนกัน โดยทั่วไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ใช้ล้างแผลจะมีความเข้มข้น 3% แต่ถ้าดูที่ข้างขวดแล้วเห็นว่าเป็น 6% ที่ฉลากก็มักให้เจือจางเท่าตัว (ก็คืออัตราส่วน 1:1 สุดท้ายจะได้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 3%) ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมักใช้ความเข้มข้น 5% หากใช้ฆ่าเชื้อตามเครื่องมือการแพทย์มักไม่เจือจาง ประสิทธิภาพฆ่าเชื้อก็จะสูงขึ้น แต่หากต้องการเพียงฆ่าเชื้อไวรัสที่มี envelope อย่างโควิดแล้ว ใช้ความเข้มข้นเพียง 0.5% ก็เพียงพอที่จะทำให้เชื้อไวรัสตายได้แล้วค่ะ (บอกแล้วว่ามันตายง่าย) อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์คือสลายตัวได้ง่าย และไวต่อแสงแดดหรือความร้อนมากๆ ดังนั้นจึงต้องเก็บไว้ในขวดสีชา และหากต้องการเจือจางเพื่อใช้ต้องเตรียมใหม่ครั้งต่อครั้งเพื่อคงประสิทธิภาพของฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ยังมีสารอีกหนึ่งชนิดที่สามารถฆ่าเชื้อโควิดได้และหาได้ไม่ยากเลย นั่นก็คือ สบู่ ซึ่งจัดว่าอยู่ในกลุ่มของสารลดแรงตึงผิว 4. สารลดแรงตึงผิว เขาเรียกกันว่า surfactant ความสามารถที่มหัศจรรย์ของสารนี้คือจะละลายน้ำและมีส่วนหนึ่งที่ไปจับกับไขมันหรือสิ่งสกปรกต่างๆ แล้วทำให้ชะล้างออกไปได้ง่าย นอกจากสบู่แล้ว ก็ยังมีพวก น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก ยาสีฟัน หรือในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลายๆ ชนิด ที่มีสารลดแรงตึงผิวเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจผสมสารฆ่าเชื้ออื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นอีก ถ้าเราอยากรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้มีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวหรือไม่ ให้พลิกดูฉลากข้างผลิตภัณฑ์ค่ะ โดยทั่วไปสารลดแรงตึงผิวที่นิยมมากจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มักเป็นสารชื่อยาวๆ และมีคำหรือลงท้ายด้วย carboxylate, sulfonate, sulfate หรือ phosphate ส่วนใหญ่มีอยู่ในส่วนประกอบของสบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก เช่น Sodium laureth sulfate, Ammonium Lauryl Ether Sulphate, Linear Alkyl Benzene Sulphonate เป็นต้น กลุ่มที่ 2 เป็นสารที่เรียกว่า quaternary ammonium compound หรือ QUAT ส่วนใหญ่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรืออาจใช้ชื่อเฉพาะของสารที่ชื่อยาวมากเช่นกัน เช่น dodecylbenzyldimethyl ammonium, benzalkonium, Alkyl dimethyl benzyl ammonium chlorides เป็นต้น นอกจาก 2 กลุ่มนี้แล้วก็อาจมีชื่ออื่นโผล่มาในฉลากบ้าง เช่น Cocamidoproply Betain, Lauryl Glucoside, PEG-6 Caprylic/Capric Glycerides เป็นต้น ไม่ต้องสนใจเรื่องกลุ่มที่แบ่งตามลักษณะทางเคมีค่ะแค่ลองไปดูสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้าที่บ้านก็ได้ว่ามีชื่อที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนที่ว่ามาบ้างหรือเปล่า นั่นก็เป็นอันว่าสามารถใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อได้ 5. สารประกอบฟีนอล ชื่อก็จะเคมีๆ หน่อย สมัยก่อนใช้ในการล้างแผล ทำความสะอาดถุงมือ เสื้อผ้า และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัด ข้อดีคือออกฤทธิ์เร็ว ฆ่าเชื้อได้หลากหลาย และเสื่อมสลายยาก แต่มีข้อเสียคือกลิ่นฉุน กัดกร่อน และระคายเคืองเนื้อเยื่อของร่างกาย ปัจจุบันได้ปรับมาใช้ในครัวเรือนได้ด้วยสารหลายตัวก็ความเป็นพิษน้อยลง นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำยาบ้วนปาก สบู่ฆ่าเชื้อ และที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือสารที่ชื่อว่า chloroxylenol ที่อยู่ในเดทตอลนั่นเอง (ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อโรค) กลไกของสารกลุ่มนี้คือทำลายโปรตีนของเชื้อก่อโรค สำหรับการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นฆ่าเชื้อในแผล ใช้อาบน้ำ สระผม ซักผ้า และฆ่าเชื้อบนพื้นผิวทั่วไป สามารถเจือจางตามฉลากที่อยู่ข้างขวดตามคำแนะนำของผู้จำหน่ายได้เลยค่ะ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหนึ่งอย่าง อาจจะมีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อได้หลายชนิดเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพกัน หรืออาจมีส่วนผสมของสารฆ่าเชื่ออื่นที่อาจไม่ได้เอ่ยถึงในที่นี้ได้ ทั้งยังแต่งกลิ่นและเติมสารต่างๆ ช่วยในเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับการฆ่าเชื้อ อันนี้ก็แล้วแต่ผู้บริโภคอย่างเราจะเลือกสรรค์ได้ตามที่ต้องการ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสารเคมีส่วนใหญ่มีคุณสมบัติกัดกร่อน จึงต้องอ่านฉลากและศึกษาการใช้งานอย่างเคร่งครัด เห็นไหมว่ามีน้ำยาฆ่าเชื้อมีหลายชนิดที่สามารถฆ่าเชื้อโควิดได้ และเป็นผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวที่หยิบจับมาใช้งานได้ง่าย ไม่ใช่แค่ไวรัสโควิดเท่านั้น น้ำยาพวกนี้ก็ฆ่าเชื้ออื่นๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่เป็นอีกปัญหาสุขภาพของเรา แต่อาจต้องใช้ความเข้มข้นสูงกว่านิดหน่อย และอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าส่วนประกอบของโคโรน่าไวรัสมีโปรตีนและไขมันเป็นหลัก น้ำยาที่อธิบายไว้แต่ละชนิดสามารถฆ่าเจ้าเชื้อตัวดีนี้ได้ราบคาบอยู่แล้ว แต่...อย่าลืมคำนึงถึงความเข้มข้นที่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยนะคะ ต้องไม่น้อยไปและไม่มากไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาที่ใช้ฆ่าเชื้อ แม้ว่าความเข้มข้นจะเป๊ะแค่ไหน แต่ไม่ใช่ว่าราดน้ำยาฆ่าเชื้อแล้วล้างออกในทันทีหรือหยิบจับใช้งานเลย...แบบนี้ก็คงไม่ได้ผล (เปลืองเปล่าๆ) เราต้องทิ้งระยะเวลาเพื่อให้น้ำยาได้ทำงานฆ่าเชื้อด้วย โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15-30 นาทีสำหรับพื้นผิวอุปกรณ์ และหากฆ่าเชื้อตามร่างกายอย่างพวกสบู่ แชมพู อาจจะใช้เวลาประมาณ 1-3 นาที คนที่อาบน้ำฟอกสบู่เร็วๆ อย่างกับจรวด หรือที่ล้างมือด้วยสบู่แบบขอไปที คิดใหม่ทำใหม่ได้แล้วนะคะ เพื่อการป้องกันที่ได้ผลที่ดีที่สุดและจะได้ไม่เปลืองน้ำยาโดยใช่เหตุค่ะ วิธีเจือจางน้ำยาฆ่าเชื้อให้ได้เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการ สิ่งที่เราต้องจดไว้คือ 1. เปอร์เซ็นต์ของน้ำยาฆ่าเชื้อที่เราต้องการ (A) 2. เปอร์เซ็นต์ของน้ำยาที่อยู่บนฉลาก (B) 3.ปริมาณน้ำยาฆ่าเชื้อที่เราต้องการใช้ (C) ให้คิดหน่วยเป็นมิลลิลิตร ให้เอาตัวเลขมาแทนในสูตร (A x C) % B เมื่อคำนวณจะได้ตัวเลข ให้ค่าเป็น D D คือ ปริมาณน้ำยาฆ่าเชื้อจากขวดผลิตภัณฑ์ ที่เราจะต้องเทมาผสมกับน้ำ โดยเอา C-D จะได้เป็นปริมาณน้ำเปล่าที่เราต้องเทผสม ตัวอย่างเช่น เราต้องการไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% เพื่อเอามาสเปรย์ฆ่าเชื้อโควิด บนขวดไฮเตอร์คัลเลอร์บอกว่ามีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 5% ขวดสเปรย์ของเราบรรจุน้ำยาฆ่าเชื้อได้ 500 มิลลิลิตร ใส่เลขในสูตร จะได้ (0.5 x 500) % 5 กดเครื่องคิดเลขออกมาปุ๊บ ได้คำตอบเท่ากับ 5 นี่เป็นปริมาณไฮเตอร์ที่เราต้องเทมาจากขวด แล้วเติมน้ำเปล่าไปผสม 495 มิลลิลิตร แค่นี้เราก็จะได้น้ำยาฆ่าเชื้อความเข้มข้น 0.5% ปริมาณ 500 มิลลิตร ที่สามารถนำไปใช้ฆ่าเชื้อได้อย่างปลอดภัย รูปและภาพถ่ายโดยผู้เขียน