ภาพปกโดยผู้เขียน เลิกนิสัยเสีย เทคนิคสร้างและลบนิสัย ใช้ได้จริง!! ที่จริงไอเดียที่จะเสนอหลังจากนี้ไม่ได้มาจากตัวผมอย่างเดียวหรอกครับ จริงๆแล้วมันมาจากหนังสือชื่อดังสองเล่มอย่าง Tiny habits แล้วก็หนังสือ Atomic Habits บวกกับประสบการณ์ของผมที่จะบอกบางหัวข้อที่ผมนำมาปรับใช้ได้ผลจริงๆ โครงเรื่องคร่าวๆของบทความนี้นะครับก็จะเสนอสิ่งที่เล็ก ง่าย ทำไม่ยากแต่เปลี่ยนแปลงได้เยอะตามชื่อของหนังสือที่แปลว่าได้ว่า พฤติกรรมอันเล็กน้อยเลยหละครับ เหมาะมากสำหรับคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงนิสัย พัฒนาตัวเอง แล้วก็อาจจะช่วยบอกคนที่มีแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้วว่าทำไมคุณถึงล้มเหลว หลังจากอ่านบทความนี้หวังว่าจะจดจำและนำไปใช้กันได้นะครับ ภาพโดยผู้เขียน ----นิสัยคืออะไร? มีไว้ทำไม? สมองมนุษย์เป็นอวัยวะที่ขี้เกียจที่สุดในร่างกาย นิสัยก็คือเครื่องทุ่นแรงของสมอง เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา สมองจะเลิกให้ความสำคัญกับการคิดในสิ่งนั้นและทำไปเองโดยง่ายดาย ซึ่งสิ่งนั้นจะกลายมาเป็นนิสัยของเรา ลองคิดดูสิครับนิสัยที่คุณไม่ต้องการมีเช่น ติดโทรศัพท์มือถือ ติดบุหรี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาลงมือทำมันไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำ แต่ว่านิสัยก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียหรอกครับ ถ้าคุณใช้มันให้เป็นประโยชน์นิสัยจะช่วยทุ่นแรงคุณทำให้คุณทำเรื่องดีๆที่อาจจะเคยยากเป็นเรื่องง่ายๆ ได้เพราะสมองชินกับมันและมันกลายเป็นนิสัยของคุณไปแล้ว ----เทคนิคการจัดการนิสัย ภาพโดยผู้เขียน 1.เก็บเล็กผสมน้อย การเปลี่ยนแปลงนิสัยก็คือการทำกิจกรรมใหม่ที่ต้องการซ้ำๆนั่นแหละครับ แต่จุดยากของมันอยู่ที่ว่าเราจะทำซ้ำไปได้นานแค่ไหน ผู้อ่านคงเคยมีแรงบันดาลใจที่จะลดน้ำหนัก ที่จะดูแลผิวพรรณตัวเอง แรงบันดาลใจมันเยอะเสียจนคิดภาพตนเองตอนผอมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าผ่านไป 1 สัปดาห์ทุกอย่างก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น นี่แหละครับสิ่งที่ยาก การทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำจนเป็นนิสัยต้องใช้เวลา ความยากของมันก็คือเราจะอยู่กับมันได้นานแค่ไหน อย่างแรกที่จะแนะนำนะครับ คือ เลิกสนใจแรงบันดาลใจจนเกินเหตุครับ แรงบันดาลใจมีไว้ก็ดีครับ แต่มันเปรียบเสมือนเพื่อนสายปาร์ตี้ มาไวไปไวพึ่งพาไม่ค่อยจะได้ครับ พอมีแรงบันดาลใจก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรแบบหุนหันเพื่อให้เห็นผลลัพธ์เร็วๆ ซึ่งความหุนหันนี้นี่แหละครับที่ทำให้เราเหนื่อยและท้อใจจนล้มเลิกความตั้งใจในตอนแรกไป ดังนั้นจะทำอะไร เริ่มที่จุดเล็กๆเน้นต่อเนื่องนะครับ อันนี้เน้นมากจริงๆนะครับ เพราะผมก็เคยผิดพลาดเพราะเรื่องนี้ บางทีการทำอะไรนานๆเล็กๆมันก็ได้ผลช้า ไม่ได้ดั่งใจ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงวันละ 1% นี่แหละครับที่ทำให้ 1 ปี จะเปลี่ยนไปได้ 37.78 เท่า!! 2.ทำให้เห็นเป็นประจำ และน่าดึงดูดใจ มีตัวกระตุ้น สภาพแวดล้อมมีส่วนมากในการเปลี่ยนแปลงของคุณ ลองคิดถึงตัวเองดูสิ เชื่อว่าคุณต้องมีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วเพราะสภาพแวดล้อม อาจจะเป็นการย้ายโรงเรียน หรือย้ายที่ทำงานก็ได้ สิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนได้ การจะสร้างนิสัยนั้นก็สามารถทำได้โดยทำให้เห็นสิ่งที่จะทำชัดเจนและมีตัวกระตุ้น เช่นตั้งนาฬิกาปลุกตอนเช้า เมื่อตื่นแล้วจะรีบไปวิ่ง มองที่ปลายเตียงมีรองเท้าและชุดที่เตรียมไว้อย่างดีเมื่อคืน สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เรามีพฤติกรรมใหม่ๆได้ อีกสถานการณ์นะครับ อยากอ่านหนังสือเรื่องใหม่ๆก็อาจตั้งตัวกระตุ้นเป็นก่อนนอนจะอ่านเรื่องนี้ 1 หน้า และวางหนังสือไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อย เมื่ออ่านจบก็ให้รางวัลตัวเองโดยการนอน แถมก่อนนอนก็จะรู้สึกว่าได้ทำบางอย่างสำเร็จด้วย ภาพโดยผู้เขียน จากภาพคือการบอกว่าเรามักคิดว่าการเปลี่ยนนิสัยและผลลัพธ์จะออกมาเป็นเส้นตรงแต่ความเป็นจริงแล้วช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเลยคุณต้องก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนั้นไปให้ได้เสียก่อน 3.ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับว่าวันละ 1% มันมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงหรอก ใครจะไปไหวที่ต้องทำอะไรก็ไม่รู้โดยที่ไม่เห็นมีผลลัพธ์อะไร เพราะงั้นข้อนี้ก็คือการทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงครับ ให้เรารู้สึกว่าหลังทำกิจกรรมนี้ไปมีบางอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ เช่น ผมที่พับนกไว้หลายตัวใส่ไว้ในแก้ว และแต่ละวันที่ผมได้ทำกิจกรรมที่ตั้งใจครบ ผมจะหยิบนกออก 1 ตัว และผมก็พยายามทุกวันเพื่อให้นกหมดขวดโหลนี้ครับ นี่เป็นแค่วิธีของผมผู้อ่านสามารถใช้วิธีอะไรก็ได้ของตนเองที่จะทำให้รู้สึกพึงพอใจหลังจากทำกิจกรรมดีๆ เพราะความพึงพอใจนี่แหละครับ จะทำให้พฤติกรรมนั้นอยู่ยาวได้ 4.ความเชื่อ พาเพื่อนไปกินหมูกระทะ แต่เพื่อนกลับตอบว่า "ช่วงนี้ลดความอ้วนอยู่ ไม่กินอ่ะ" คำตอบนี้แตกต่างจากคำตอบว่า "เราไม่ใช่คนกินเยอะน่ะ ไม่กินละกัน" ผลลัพธ์ของวันนั้นอาจเหมือนกันคือไม่ได้ไปกินหมูกระทะ แต่คำตอบหลังนั้นแตกต่างจากคำตอบแรกตรงที่ คำตอบหลังเพื่อนเราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนกินน้อย! นี่แหละครับหลักสำคัญของข้อนี้ก็คือ คุณต้องเชื่อในสิ่งที่คุณอยากเป็นว่าคุณเป็นมันได้ เป็นมันอยู่ คุณออกกำลังกายแต่คุณไม่เชื่อว่าตัวเองรักการออกกำลังกายคุณก็ทำได้ไม่นานหรอกครับ แต่การให้เชื่อก็ไม่ใช่การหลอกตัวเองนะครับ คุณต้องทำพฤติกรรมที่สอดคล้องกับตัวตนที่คุณอยากเป็นที่ละนิดเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกได้เองว่าคุณได้เป็นมันแล้ว เช่น หัดเล่นดนตรี การเล่นวันเดียวไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองเป็นนักดนตรีครับ คุณแค่รู้สึกว่าฉันกำลังหัดเล่นดนตรี แต่เมื่อเล่นต่อเนื่องสักเดือน คุณต้องเริ่มมีความรู้สึกว่าตนเองก็เป็นนักดนตรีบ้างแหละครับ สุดท้ายขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบนะครับ ผมไม่ได้อ้างอิงทุกอย่างจากหนังสือ แต่อ้างอิงจากสิ่งที่ผมนำมาใช้อาจไม่ได้อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ถ้าลองทำดูผมเชื่อว่าคุณจะทำมันได้ครับ แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถซื้อหนังสือมาอ่านได้นะครับ ขอบคุณครับ ภาพโดยผู้เขียน ภาพโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !