พ่อแม่ทุกวันนี้อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ และใครๆ ก็บอกว่า "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" ทำให้พ่อแม่ยุค 4.0 ต่างพยายามหาเทคนิคการเลี้ยงลูกที่ทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ และเทคนิคหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ เลี้ยงลูกสองภาษาในบทความนี้ ผมจะขอแชร์ประสบการณ์เลี้ยงลูกสองภาษาที่ผมประสบมาด้วยตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างนะครับผู้อ่านที่สนใจ สามารถหาซื้อหนังสือในชุดเลี้ยงลูกสองภาษาของ "ผู้ใหญ่บิ๊ก" มาอ่านได้ครับพวกเราในยุคปัจจุบันเชื่อกันว่า เด็กในวัย 3 ปีแรกสามารถรับรู้ได้มากกว่าหนึ่งภาษาโดยธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว โดยไม่รู้ว่านี้คือภาษาไทย นี่คือภาษาอังกฤษ หรือภาษาอะไร เมื่อมีความต้องการ เด็กจะเรียก "นม" หรือ "มิลค์" ขึ้นกับว่าคำไหนจะผุดขึ้นมาในสมองก่อนดังนั้น ถ้าอยากให้ลูกเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ก็ให้เริ่มตั้งแต่ 3 ปีแรก ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดีสำหรับผม ผมเริ่มตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องแม่เลยครับ ผมเริ่มเขียนไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษทุกวัน ในใจคิดว่า เผื่อจะให้เขาอ่านตอนโต แต่ต่อมาจึงพบว่า ประโยชน์ที่แท้จริงของการเขียนไดอารี่ (นอกเหนือจากบันทึกสุขภาพ) คือการซักซ้อมความเป็นพ่อแม่สองภาษานั่นเองแล้วเวลา 38 สัปดาห์ก็ผ่านไป ผมก็ได้เจอหน้าลูกสาวคนแรก และเราก็เริ่มพูดคุยภาษาอังกฤษกันทันที ตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมกับภรรยาตกลงกันว่า ภรรยาจะพูดภาษาไทยกับลูก ส่วนผมจะพูดภาษาไทยกับลูก ตามแนว OPOL (One Parent One Language) หรือ หนึ่งคนหนึ่งภาษา ที่ผู้รู้หลายท่านแนะนำเวลาร้องเพลงกล่อมลูก ผมจะใช้เพลง ABC, Twinkle Little Star และ Baa Baa Black Sheep ซึ่งเพลงทั้งสามนี้ใช้ทำนองเดียวกัน ทำให้ลูกฟังแล้วรู้สึกเคลิ้มๆ ไป วันหนึ่งร้องกันหลายรอบ โดยเฉพาะหลังดื่มนม แล้วจะต้องอุ้มลูกพาดบ่า จับเรอนมเดินไปเดินมา ร้องเพลงกล่อมไปด้วย ลูกผมก็เลยได้ฟังเพลงกล่อมฝรั่งทุกวัน วันละหลายชั่วโมงเมื่ออายุ 9 เดือน ในขณะที่ผมร้องเพลงว่า "Twinkle twinkle litte..." แล้วผมก็แกล้งหยุดร้อง ลูกผมก็ร้องขึ้นมาว่า "ตาร์"p> ผมก็ร้องว่า "How I wonder what you.." แล้วก็หยุด ลูกก็รับว่า "อาร์"ใช่แล้วครับ ลูกผมทุกคนร้องเพลงฝรั่งได้ ก่อนจะพูดภาษาไทยด้วยซ้ำดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี ผมจึงเดินหน้าต่อกับการเลี้ยงลูกสองภาษา และเมื่อลูกสาวคนโตอายุได้ขวบเศษ ครอบครัวของเราก็มีสมาชิกมาเพิ่มอีกคนคือ ลูกสาวคนรอง ผมก็ไม่ลังเล พูดคุยภาษาอังกฤษกับลูกสาวทั้งสองคน 100% และ เล่านิทานเป็นภาษาอังกฤษก่อนนอนแต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่นิดนึงนะครับ เวลาผมพูดคุยกับภรรยา เราก็คุยด้วยภาษาไทย เวลาผมคุยกับลูก ผมพูดอังกฤษตลอด แต่ลูกจะพูดไทยก็ได้ อังกฤษก็ได้ โมเมนต์ที่ประทับใจผมที่สุด คือตอนที่ลูกคนโตของผมอายุขวบเศษ เขาถือลูกแอ็ปเปิล และหันมาหาผมบอกว่า " ป๊า..แอ๊พ-เพิ่ล" สำเนียงฝรั่งเป๊ะ แล้วหันไปหาแม่ และพูดว่า "แม่..แอ๊ป-เปิ้น" สำเนียงไทยเป๊ะเช่นกันลูกสาวคนโตของผม มีพัฒนาการในระดับดี ทั้งด้านการเรียนรู้ ภาษา และสังคมทุกอย่างก็ดำเนินมาด้วยดีครับ จนลูกสาวคนรองอายุ 3 ขวบได้เข้าเรียนอนุบาล 1 และผมพบว่าเขาไม่ค่อยคุยกับใครที่โรงเรียน ทั้งเพื่อนและครู ที่ดูน่ากังวลที่สุดคือ ตอนสอบปลายปี เป็นการสอบปากเปล่า คุณครูถึงกับออกปากว่า คะแนนน้องได้น้อยมาก เพราะไม่ยอมตอบคำถามครู ครูเลยไม่รู้ว่าจะให้คะแนนยังไง ทั้งห้องของเขา ลูกสาวผมรู้จักชื่อเพื่อนแค่ 3 คนตอนนั้นผมกับภรรยาคิดว่า น่าจะเป็นเพราะเราเป็นครอบครัวเดี่ยว เพราะญาติๆ ของเราทั้งคู่อาศัยอยู่จังหวัดอื่น เราจึงอยู่กัน 4 คน และนี่คงเป็นสาเหตุที่ลูกเราทั้งคู่มีนิสัยเก็บตัว และไม่ค่อยคุยกับคนแปลกหน้าผมจึงยังคุยภาษาอังกฤษกับลูกต่อไป แม้บางครั้งจะพบว่าลูกสาวคนรองเข้าใจภาษาอังกฤษบางคำของผมผิดไป เช่น เข้าใจว่า "tasty" แปลว่าเผ็ด ทั้งที่มันแปลว่าอร่อยผ่านไปอีกหนึ่งปี ลูกสาวคนรองเรียนจบอนุบาล 2 ด้วยสภาวะเดียวกับอนุบาล 1 คือไม่คุยกับเพื่อน ไม่มีเพื่อนจนถึงอนุบาล 3 ผมจึงลองเปลี่ยนมาพูดไทยกับลูก และเพียง 1-2 เดือนหลังจากนั้น ลูกสาวคนรองของผมก็เริ่มคุยกับเพื่อน คุยกับครู กลายสภาพมาเป็น "เด็กปกติ" ในสายตาคนทั่วไปผมเคยถามลูกว่า อะไรทำให้ลูกคุยกับเพื่อนและครู เป็นเพราะผมพูดไทยกับเขาหรือเปล่า เขาตอบว่าไม่รู้ จู่ๆ ก็คุยกับเพื่อนเองผมจึงไม่ทราบว่าการเลี้ยงลูกสองภาษา เป็นกุญแจของปัญหาของลูกผมหรือเปล่า แต่การได้เห็นลูกของตัวเองมีเพื่อน มีสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ผมพอใจ และไม่คิดจะกลับไปทดลองพูดอังกฤษกับลูกอีก และในปีนั้น เมื่อลูกชายคนเล็กของผมเกิดมา เขาจึงได้สัมผัสกับภาษาไทยเท่านั้นจากการสังเกตความสามารถด้านภาษาของลูกทั้งสามคน ผมเห็นลูกสาวคนโตมีทักษะภาษาอังกฤษดีกว่าน้องๆ และค่อนข้างดีกว่าค่าเฉลี่ยของเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่ลูกสาวคนรองมีความจำเรื่องประวัติศาสตร์ดีกว่าพี่สาว และลูกชายคนเล็กมีความสามารถประยุกต์ดัดแปลงเด่นกว่าพี่ๆผมต้องยอมรับความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ว่า เด็กทุกคน เกิดมาไม่เท่ากัน และสมองส่วนภาษาก็เช่นกัน อย่างน้อย ผมก็เป็นพ่อที่เลี้ยงลูกหนึ่งคนเป็นเด็กสองภาษาได้สำเร็จ แต่อีกคนหนึ่ง ผมทำไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่สอนด้วยวิธีเดียวกันถึงผมจะเลิกพูดอังกฤษกับลูกแล้ว แต่ก็ยังพยายามหาทางเสริมทักษะให้กับเขาอยู่เรื่อยๆ เช่น เกมทายคำศัพท์ หรือครอสเวิร์ด และพยายามบอกเขาเรื่อยๆ ว่าไม่ว่าลูกจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ภาษาอังกฤษจะเป็นแต้มต่อเสมอแม้ลูกจะเรียน สาขาวิชาภาษาไทย หรือจะเป็นกุ๊กทำอาหาร ภาษาอังกฤษจะเป็นแต้มต่อเสมอสำหรับผม การที่ลูกไม่เก่งภาษาอังกฤษนั้น ยังไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง แต่ถ้าลูก "เกลียด" ภาษาอังกฤษ นั่นต่างหากคือปัญหาที่ต้องแก้อย่างเร่งด่วนที่สุดดังนั้น สิ่งที่ผมอยากฝากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังอ่านบทความนี้คือ การเลี้ยงลูกสองภาษา เป็นเรื่องที่ดี ถ้าสมองลูกสามารถรับได้ แต่ต้องระวังอย่าสร้างความเครียดให้ลูกนะครับ บางทีสมองของเขาอาจจะมีจุดเด่นที่น่าส่งเสริมมากกว่าเรื่องภาษาก็ได้ ที่มา ภาพที่ 1 จาก เว็บนายอินทร์ภาพปกและ ภาพที่ 2, 3 และ 4 โดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !