เคยมีคนกล่าวไว้ว่าอาวุธที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่มีพลังทำลายล้างสูงอย่างนิวเคลียร์ หรือสิ่งที่ใช้ฆ่าคนได้อย่างง่ายดายอย่างปืน หรือของมีคมอื่นๆ กลับเป็นคำพูดของคนเราต่างหาก ที่พรากชีวิตของผู้อื่นมานักต่อนัก และขั้นเลวร้ายที่สุด ก็ทำให้เกิดสงคราม ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นก็เกินกว่าที่จะหาสิ่งใดมาเยียวยา ดังจะเห็นได้จากในหน้าประวัติศาสตร์ยิบย่อยต่างๆ และเมื่อกาลเวลาผลัดเปลี่ยนยุคสมัยจนมาถึงปัจจุบันเทคโนโลยีสิ่งอำนวยสะดวกมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีในการสื่อสาร ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารนั้นใกล้กันขึ้นสะดวกสบาย และง่ายต่อการใช้งาน แต่ทุกสิ่งบนโลกล้วนมีสองด้าน เช่นเดียวกันนั้น เทคโนโลยีการสื่อสารโดยเฉพาะสื่ออินเทอร์เน็ต โลกโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ที่นอกจากจะเป็นสิ่งที่มอบอิสระในการพูดคุย พบปะ สังสรรค์ของคนที่มีความชอบคล้ายกันแล้ว ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นการระบุอีกกลุ่มที่มีความชอบที่แตกต่างด้วยเช่นกัน และเพราะความอิสระที่มีจึงทำให้เกิดการพูดคุยโต้แย้งกันระหว่างกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นในบางครั้ง ถ้ามันเป็นเพียงการคุยที่มีเจตนาเพื่อถกเถียงกันธรรมดา นั่นก็แล้วกันไป แต่หากมันกลายเป็นการพูดคุยที่มีเจตนาไปในทางเกลียดชัง และเกิดการลุกลามจนเกินจะห้ามแล้วล่ะก็ท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นมา ผลของปัญหาเหล่านั้นจะต้องกลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกลงในใจให้กับใครซักคนเป็นแน่ การทำความเข้าใจคำพูดประเภทนี้จึงมีความสำคัญเช่นกัน เพื่อที่จะสามารถหาทางป้องกัน และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้การพูดหรือวาจาที่มีเจตนาในทางเกลียดชัง Hate Speech Hate ในบริบทคำนาม แปลว่า ความเกลียดชังSpeech ในบริบทคำนาม แปลว่า คำพูด, ถ้อยคำ, คำบรรยาย ดังนั้นแล้ว Hate Speech จึงแปลความหมายตามตัวได้ความว่า คำพูดแห่งความเกลียดชัง ถ้ากล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตามพจนานุกรมของเคมบริดจ์ [ Hate Speech แปลว่า คำพูดที่พูดในที่สาธารณะ ที่มีเนื้อหาแสดงออกถึงความเกลียดชัง หรือยั่วยุให้กระทำความรุนแรงกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเป็นอัตลักษณ์ อาทิเช่น เชื้อชาติ ศาสนา หรือรสนิยมทางเพศ ] ทั้งนี้ทั้งนั้น คำพูดหรือวาจาสร้างความเกลียดชัง อาจไม่ได้จำกัดเพียงแค่คำพูดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาพวาด ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ บทกวีหรืออาจจะเป็นคำสัมภาษณ์ที่ถูกตัดเนื้อหาบางตอนมาใช้อย่างจงใจ เพื่อเป้าหมายในการแบ่งแยกสังคม ขจัดคนอีกกลุ่มที่เห็นต่างจากกลุ่มของตนออกไป กล่าวได้ว่า การกระทำเหล่านี้ ก็เหมือนกับการหาแกะดำในหมู่แกะขาว เป็นการตามล่าหาแม่มดในหมู่ผู้คนปกติทั่วไปก็ว่าได้ การล่าแม่มดในโลกออนไลน์ ในช่วงยุคกลางของยุโรป เพื่อรักษาอำนาจทางศาสนาให้คงอยู่ จึงเกิดการล่าแม่มดขึ้นมา ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดในสมัยนั้น มักเป็นหญิงสาวที่มีความงดงาม หรือหญิงชราผู้มีใบหน้าอันน่ากลัว หรือเป็นผู้ที่มีความเห็นต่างในการกระทำในช่วงเวลาขณะนั้น จุดจบของคนเหล่านี้ คือการถูกเผาทั้งเป็น หรือถูกจับแขวน ท่ามกลางการประณามของชาวบ้านที่ถูกควบคุมความคิด โดยศาสนจักรอย่างไม่รู้ตัว น่าประหลาดใจที่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นี้ ถึงแม้จะจบไปตั้งแต่ในช่วงยุคศตวรรษที่ 17 แล้ว แต่ในปัจจุบันก็ยังคงมีกรณีที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมาให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะในโลกอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง ท่ามกลางความหลากหลายของความสนใจของผู้คน ความแตกต่างของบุคคลหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม ทำให้คนเหล่านี้ถูกเพ่งเล็งเป็นเป้าหมายในการกล่าวหาจากกลุ่มคนที่เห็นต่างออกไป โดยที่คนเหล่านั้นใช้มุมมองโดยส่วนตัวที่มีอคติ ในการตัดสินกลุ่มคนที่แตกต่างไปจากพวกตน และเคลื่อนไหวจัดการกลุ่มที่ขัดแย้งนั้นให้สิ้นซากไป ซึ่งสามารถแบ่งขั้นตอนคร่าวๆที่คนเหล่านั้นจะกระทำได้เป็น 3 ขั้น ประกอบด้วยขั้นเลือก แรกเริ่มผู้คนที่มีอคติเหล่านั้น จะตั้งใจแบ่งแยก กีดกันความเป็นเขาและพวกของเราอย่างชัดเจน (แรกเริ่มอาจมีเพียงแค่คนๆเดียวที่เป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา โดยอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป บางคนไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนนัก เป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ เพื่อความสะใจ บางคนต้องการสร้างความเข้าใจผิด เพื่อให้อีกกลุ่มถูกทำลายหายไป เป็นการปฏิเสธการคงอยู่ของอีกกลุ่ม ไม่ให้มีตัวตนอยู่)ขั้นโหวต แล้วจึงเริ่มยั่วยุผู้คนที่มีความชอบคล้ายกับตน อาจจะด้วยการสุมไฟ โกหกเรื่องขึ้น หรือบิดเบือนข้อมูลให้แตกต่างไปในทางลบ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มเป้าหมาย (เป็นการดึงกระแส คนในกลุ่มให้คล้อยไปตามกับสิ่งที่ตนคิด)ขั้นแขวน เมื่อถึงจุดที่มันเกินกว่าเหตุ ก็จะมีการใช้ความรุนแรงต่อเป้าหมาย อาจมีการเรียกพวกมาช่วยกันประณามบุคคลหรือกลุ่มคนเหล่านั้นให้ไม่มีจุดยืน หรือถูกขับไล่จากสังคม ซึ่งเสี่ยงให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคจากอาการทางจิตใจ หรือขั้นเลวร้ายที่สุด ก็อาจจะถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายในชีวิตจริงจนถึงแก่ชีวิตได้ โลกในอินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับประเทศที่ไร้พรมแดน ยิ่งมีอิสระมาก เราก็ยิ่งเผลอตัวลงไปมาก ในอีกแง่ของเสรีภาพที่คุณได้รับจากสังคมแห่งนี้ หากไม่ตั้งสติ คิดใคร่ครวญ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังให้ดี ก็มีสิทธิ์ที่คุณจะไปทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจได้ ในทางกลับกัน ตัวคุณก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อไปซะเองได้เช่นกัน เราจึงควรจะมีความเคารพในตัวของกันและกัน นำใจเขามาใส่ใจเรา ลองพิจารณาดูว่า ในขณะที่เรามีสิทธิ์ที่จะรักในสิ่งที่เราชอบ ทำไมเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถมีสิทธิ์เหล่านั้นได้ล่ะ จงให้เคารพกับพื้นที่ในโลกออนไลน์ของแต่ละคน ใช้วิจารณญาณในการรับสาร เพื่อไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน รู้เท่าทันคน รู้เท่าทันสื่อ เพื่อไม่ให้ต้องมีเหล่าแม่มดที่ต้องตกเป็นเครื่องสังเวยให้กับเรื่องเหล่านี้อีก ให้ทุกอย่างมันจบลงเหมือนเมื่อครั้งศตวรรษที่ 17 เครดิตรูปภาพhttps://th.pngtree.com/freepng/business-office-technology-future-fantasy_4118458.htmlhttps://www.clipartmax.com/max/m2H7i8b1b1A0b1i8/https://potterstoryweb.com/162/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8https://www.salika.co/2019/02/27/hate-speech-protection-election-62/