สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ตอนแรกเราก็คิดอยู่นานทีเดียวเชียว ว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีไหม แต่ก็อยากแชร์เป็นวิทยาทานสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคนี้อยู่นะคะ ซึ่งโรคที่เราพึ่งเป็นและกำลังจะหายอยู่นั้น คือ "ฝี" ค่ะ โดยบริเวณที่เป็นคือบริเวณก้น เยื้องมาทางก้นกบเริ่มต้นอาการที่เป็นคือ ปวดแถวบริเวณก้นกบค่ะ (8 ส.ค.) จู่ ๆ ก็มีอาการปวดแบบไร้สาเหตุเวลาที่นั่งหรือพิงหนักเก้าอี้ โดยตอนนั้นก็ยังไม่มีตุ่มหรือก้อนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเราก็คิดเอาเองว่า คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง (ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ค่ะ 555) เพราะเราเองก็ปวดหลัง ปวดเอวอยู่บ่อย ๆ จึงคิดว่าเกิดจากอาการออฟฟิศซินโดรมที่เป็นอยู่สองวันถัดมา (10 ส.ค.) อาการปวดก็ยังไม่หายไป พร้อมทั้งมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายกับสิวขึ้นมาตรงบริเวณที่ปวด เราจึงได้ปรึกษาคุณหมอและเริ่มทานยาฆ่าเชื้อ ตอนนั้นก็ทราบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มันต้องอักเสบแน่ ๆ โดยที่เราเฝ้าภาวนาว่ามันจะยุบเอง ไม่กลายร่างวิวัฒนาการกลายเป็นฝีที่เรากลัวเราทานยาได้ 2 วัน อาการปวดไม่ดีขึ้น แถมยังทวีคูณความปวดมากกว่าเดิม ตุ่มเล็ก ๆ ในวันนั้น มันบวม แดง และขยายใหญ่มากขึ้นในวันนี้ เราจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (12 ส.ค.) ซึ่งในวันนั้นศัลยแพทย์ก็อยู่เวรเพียงคนเดียวค่ะ เป็นคุณหมอผู้ชายมีอายุหน่อย เราก็เขินนะคะ ที่ต้องเปิดให้คุณหมอดูบริเวณก้น จึงโทรไปหาแฟนและไลน์ไปคุยกับที่บ้าน ซึ่งแฟนกับที่บ้านก็ให้กำลังใจแบบติดตลกว่า "ไม่เป็นไร หมอจำหน้าเราไม่ได้หรอก ผ่าเลยจะได้หายไว ๆ" เราจึงตัดสินใจผ่ากรีดฝีเลยเรานอนรอคุณหมอติดเคสอื่นสักพัก และแล้วก็ถึงคิวเรา เราได้ผ่าตัดในห้องฉุกเฉินค่ะ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็ก คุณหมอให้พยาบาลผู้หญิงมาอยู่เป็นเพื่อนเราและเป็นผู้ช่วยตอนผ่า ขั้นตอนการผ่าขั้นแรกคือการฉีดยาชา ซึ่งคุณหมอก็ได้บอกกับเราว่าเจ็บหน่อยนะครับ แต่พอยาชาปักเข้าไปตรงฝี อยากจะบอกว่าคุณหมอคะ มันเจ็บมากกกกกก เจ็บจนเราอยากจะกรี๊ดลั่นโรงพยาบาล เจ็บไม่ทันไร หมอก็จิ้มยาชาเข็มที่ 2 มา เราก็สะดุ้งอีกที โดนทิ้งว่าเจ็บแล้ว วินาทีนี้คูณ 10 ไปเลยค่ะ น้ำตาไหลพรากจากนั้นคุณหมอก็เช็คว่าเรายังรู้สึกเจ็บอยู่ไหม? ชารึยัง? ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกชาแล้ว คุณหมอจึงจัดการกรีดเปิดแผลเพื่อนำหนองออกและทำความสะอาดแผล โดยที่คุณหมอจะไม่เย็บแผลให้ แต่เป็นการยัดก๊อซเดรนชุบยาแทน แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซอีกที ซึ่งคุณหมอได้อธิบายว่า สาเหตุที่ไม่เย็บแผล คือ แผลจะได้ไม่ปิดเร็วเกินไป การยัดก๊อซจะทำให้แผลได้ระบายของเสียออกมาด้วย หากเย็บปิดไปแล้วแผลยังอักเสบอยู่ แผลก็จะหายช้า และมีโอกาสที่จะต้องกลับมากรีดระบายหนองซ้ำหลังจากที่ผ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พยาบาลก็แจ้งให้ไปรับยา และยื่นใบนัดเพื่อมาดูแผลอีกครั้งในวันที่ 19 ส.ค. พร้อมแนะนำว่าให้ล้างแผลทุกวันที่ รพ. จะมาที่นี่หรือ รพ. ใกล้บ้านก็ได้ ที่สำคัญห้ามให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด ค่าเสียหายในวันนั้นเราโดนไปทั้งสิ้น 3,XXX บาท ยาที่ได้รับจะมีทั้งหมด 3 ตัว คือ ยาฆ่าเชื้อ ยาลดบวม ยาแก้ปวด พอเราขับรถออกมาได้สักหน่อย คุณแม่ก็โทรมาตาม เพราะว่าวันนั้นเป็นวันแม่และเรามีนัดทานข้าวกับครอบครัวไว้ ก็เลยต้องไปตามนัด ขับรถไป-กลับ รพ.เองว่าเป็นหญิงแกร่งแล้ว แต่การผ่าตัดแล้วไปนั่งกินข้าวกับที่บ้านคงแข็งแกร่งกว่าหลังจากกลับมาที่บ้าน ฤทธิ์ยาชาหมดพอดี เรารู้สึกปวดมากบริเวณแผล เราจึงอาบน้ำไม่ไหวต้องเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกเอา ส่วนยาก็ต้องกินให้ครบตามแพทย์สั่ง ยิ่งตอนนอนไม่ต้องพูดถึง นอนตะแคงได้ท่าเดียว ไม่สามารถนอนหงายได้ ถือว่าลำบากในการใช้ชีวิตระดับหนึ่ง แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นฝีคัณฑสูตร ไม่งั้นชีวิตคงยุ่งยากกว่านี้วันถัดมา (13 ส.ค.) เราฝืนไปทำงานเนื่องจากคนในแผนกลาล่วงหน้าไปหลายคน เราจึงนั่งตะแคงข้างขับรถไปทำงาน ส่วนเก้าอี้ที่ออฟฟิศ เราซื้อเบาะนั่งเสริมที่ค่อนข้างนิ่มมาไว้เลยพอนั่งได้ แต่ก็นั่งได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องขยับไม่ให้โดนบริเวณแผล ช่วงบ่ายเราขอลา 2 ชม. เพื่อเดินทางไปล้างแผลที่ รพ.เอกชนอีกแห่ง ซึ่งใกล้บ้านมากกว่า รพ.แรก และเรามีสิทธิ์ประกันสังคมเมื่อไปถึง รพ. ก่อนที่จะล้างแผลก็ต้องพบคุณหมอก่อน ซึ่งคุณหมอศัลยแพทย์ที่ขึ้นเวรในขณะนั้นก็มีอยู่เพียงท่านเดียว เป็นคุณหมอผู้ชาย(อีกแล้ว) แต่ตอนนั้นเริ่มรู้สึกชินแล้วค่ะ ช่วงที่คุณหมอขอดูแผลคุณหมอก็ได้ให้พยาบาลผู้หญิงมาอยู่เป็นเพื่อนเราและได้ชวนคุยเพื่อไม่ให้เราประหม่า คุณหมอถามว่าเราทำงานอะไร จึงตอบไปว่าเป็นพนักงานออฟฟิศค่ะ คุณหมอหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกว่าพนักงานออฟฟิศเป็นกันบ่อยนะ ฝีเนี้ย เพราะคนเรามีต่อมเหงื่อกับต่อมไขมันใต้ผิวหนังอยู่ พอมีพฤติกรรมนั่งติดเก้าอี้นาน ๆ ไม่เปลี่ยนท่า ไม่ลุกไปไหน ก็เลยทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นถูกกดทับ ไม่ระบาย เกิดการอุดตันจนเกิดเป็นฝีได้ในที่สุด แล้วคุณหมอก็ได้ส่งเราไปทำแผลต่อกับพยาบาลที่ห้องทำแผลสภาพแผลวันแรก มีเลือดซึมออกมาค่อนข้างมาก(ขออนุญาตทำเป็นภาพขาวดำนะคะ เพื่อลดความน่ากลัวลงหน่อย) พยาบาลดึงก๊อซเดรนที่ยัดไว้ออก และเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบปากแผล จุดนี้รู้สึกเจ็บมากพอสมควร แต่จุดที่พีคมากกว่าคือ ขั้นตอนที่นำสำลีพันก้านชุบน้ำเกลือล้วงเข้าไปคว้านล้างทำความสะอาดแผล และยัดก๊อซเดรนชุบยาอันใหม่ลงไป ลองคิดสภาพแผลสดไม่มียาชา เจ็บจนแทบร้องขอชีวิตเลยค่ะ รอบนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะเราใช้สิทธิ์ประกันสังคมค่ะวันถัด ๆ มา เราก็ต้องเดินทางไปยัง รพ.ที่มีสิทธิ์ประกันสังคมเพื่อล้างแผลทุกวัน และเริ่มใช้ชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป น้องสาวถ่ายรูปรับปริญญาก็ร่วมถ่ายรูปด้วยตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการนั่ง หรือถ้าหากจำเป็นต้องนั่งจริง ๆ ก็จะนั่งตะแคงข้างเอา ส่วนเรื่องความเจ็บ ก็ยังเจ็บจี๊ดเหมือนเดิมโดยเฉพาะเวลาทำแผลแต่อดทนเอาค่ะ เราเริ่มอาบน้ำสระผมหลังจากที่ผ่ากรีดฝีไปแล้ว 2 วัน เนื่องจากทนไม่ไหว เมืองไทยอากาศมันร้อนอ่ะเนอะ แต่ต้องใช้วิทยายุทธในการก้มเพื่อไม่ให้น้ำโดนแผลสักหน่อย อาหารการกินก็งดของดิบ ของหมักดอง แอลกอฮอลค่ะ ส่วนโปรตีนกับคอลลาเจนเราอัดไปเลยเต็มที่ แผลจะได้หายไว ๆแล้วเวลาก็ผ่านไป 1 สัปดาห์ ครบรอบวันที่คุณหมอนัดดูแผลพอดี เนื่องจาก รพ.ที่เรามีสิทธิ์ประกันสังคมก็ได้ให้ใบนัดเรามาเช่นกัน เราจึงโทรไปแจ้งยกเลิก รพ.แรก และไปตามนัด รพ.ที่เรามีสิทธิ์ประกันสังคมเพียงที่เดียว จะได้ไม่ซ้ำซ้อน พอเจอคุณหมอ คุณหมอก็ขอดูแผลตามปกติ พร้อมบอกว่า แผลดูดี ไม่ต้องยัดก๊อซแล้วนะ เพราะแผลเริ่มตื้นและปากแผลแคบลงแล้ว หลังจากนั้นก็ส่งเราไปที่ห้องทำแผลตามเดิม ตอนทำแผลเจ็บน้อยลงมากเพราะไม่ต้องยัดก๊อซอีกต่อไปก่อนทำแผลเสร็จ เราแอบถามพี่พยาบาลว่าเราสามารถล้างแผลเองได้ไหม ซึ่งพี่พยาบาลก็บอกว่าไม่แนะนำ เพราะแผลมีลักษณะเป็นรูโพรง หากล้างแผลไม่สะอาดก็มีโอกาสที่จะกลับมาอักเสบได้ ดังนั้นเราจึงต้องจำใจใช้บริการพี่ ๆ พยาบาลต่อไปค่ะ ก่อนกลับบ้านพี่พยาบาลก็ได้ยื่นใบนัดให้ คุณหมอก็ยังกำชับให้ล้างแผลทุกวันและห้ามแผลโดนน้ำเหมือนเดิม ซึ่งคุณหมอนัดดูแผลอีกครั้งในวันที่ 26 ส.ค. หากไม่อักเสบหรือมีอาการผิดปกติใด ๆ ก็จะไม่นัดดูแผลแล้วถึงตอนนี้แผลของเราจะยังไม่หาย 100% แต่ก็ดีขึ้นมาก มีเจ็บบ้างเล็กน้อย สามารถนั่งโดนแผลได้ นอนหงายได้ จึงอยากจะเป็นกำลังใจให้คนที่เป็นโรคนี้ทุกคนว่าอย่ากลัว หรืออายในการไปพบคุณหมอ ห้ามบีบ ห้ามเค้น ห้ามปล่อยให้มันแตกเองเพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อและอักเสบหนักกว่าเดิม ยิ่งทำให้รักษายากมากขึ้น ที่สำคัญเป็นแล้วต้องมีความสม่ำเสมอ ทานยาให้ครบตามที่แพทย์ระบุ ไปล้างแผลเป็นประจำทุกวัน เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ค่ะ สุดท้ายการหลีกเลี่ยงที่ต้นเหตุ ไม่นั่งนาน ๆ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นฝีได้ ยังไงก็ขอให้ทุกคนไม่เป็นกันนะคะ...เครดิตภาพปกโดย : fernandozhiminaicela จาก Pixabay เครดิตภาพที่ 1 โดย : derneuemann จาก Pixabay ภาพประกอบ : ถ่ายโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !