เศรษฐกิจและสังคมใน SEA (Southeast Asia) สมัยอาณานิคมผ่านการผลิตและบริโภคกาแฟ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยอาณานิคม มุมมองผ่านการผลิตและบริโภคกาแฟ โดย โดม ไกรปกรณ์. บทความวิชาการนี้เขียนขึ้นโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โดม ไกรปกรณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีจุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสู่สมัยใหม่ทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคอาณานิคม โดยมองจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านวัฒนธรรมการผลิตและบริโภคกาแฟของคนในภูมิภาคนี้ บทความชิ้นนี้มีลักษณะการนำเสนอเป็นบทความยาวประมาณ 12 หน้า มีการเขียนเรียบเรียงเป็นลำดับเข้าใจง่าย มีการยกตัวอย่างประกอบ มีข้อสรุปและข้อเสนอแนะที่ชัดเจน กล่าวถึงเนื้อหาโดยสรุปได้ดังนี้ เริ่มต้นตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมัยใหม่ของทวีปยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ รวมถึงเป็นการปรากฏขึ้นของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในยุโรป ซึ่งกลุ่มประเทศมหาอำนาจในยุโรปได้อาศัยความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ายึดครองและควบคุมดินแดนต่างๆ ให้ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของตนเอง เพื่อใช้ดินแดนอาณานิคมเป็นแหล่งป้อนทรัพยากรใหม่ในการสร้างความมั่นคงของชาติตนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 – กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 การที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เข้ามาจัดระบบบริหารและระบบการศึกษาในดินแดนที่ตกเป็นประเทศอาณานิคม ส่งผลให้มหาอำนาจตะวันตกได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของประเทศอาณานิคม โดยส่งผู้บริหารชาวตะวันตกเข้ามาปกครองแทนผู้นำจารีตท้องถิ่นอย่าง กษัตริย์ สุลต่าน เจ้าเมือง ฯลฯ พร้อมทั้งตั้งระบบราชการแบบตะวันตกเพื่อเป็นกลไกในการปกครองด้านเศรษฐกิจ โดยนำเอาระบบทุนนิยมที่เน้นการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในตลาดโลกมาใช้ในกลุ่มประเทศอาณานิคมของตน รวมไปถึงด้านสังคมวัฒนธรรมที่ระบบอาณานิคมได้สร้างชนชั้นกลางที่เป็นข้าราชการ ช่างเทคนิค ผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อเป็นบุคคลากรสำหรับระบบราชการและระบบเศรษฐกิจแบบใหม่อีกด้วย ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองเหล่านี้ ทำให้ผู้คนในรัฐต่างๆ ของภูมิภาคนี้ซึ่งประกอบด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์นั้นถูกนำเข้ามารวมในหน่วยการเมืองเดียวกัน อยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบแบบแผนที่บังคับให้พวกเขาเป็นแบบเดียวกัน นำไปสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในเวลาต่อมาเป็นที่ทราบกันว่ากาแฟนั้นจัดอยู่ในพืชตระกูลเดียวกับกุหลาบ มีหลายร้อยชนิด แต่ที่นิยมปลูกกันมีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ อาราบิก้า (Coffea Arabica), โรบัสต้า (Coffea Robusta), ลิเบอริกา (Coffea Liberica) และเอ็กเซลซา (Coffea Excelca) โดยมีตำนานเล่าถึงความเป็นมาของการบริโภคกาแฟอยู่ 2 สำนวน ซึ่งมีนัยยะว่าถิ่นกำเนิดของกาแฟอยู่แถบทวีปแอฟริกาหรือแถบอาหรับ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 กาแฟ (หรือที่ชาวอาหรับเรียกว่า “กาห์วาห์”) ได้แพร่หลายไปทั่วโลกอาหรับ และเริ่มหลุดพ้นจากการเป็นเครื่องดื่มที่นิยมบริโภคเพื่อบรรเทาความง่วงในยามทำพิธีกรรมทางศาสนาตอนดึก มาสู่การเป็นเครื่องดื่มทางสังคมที่มีวางขายเป็นแก้วๆ ตามท้องถนนในตลาด รวมทั้งมีร้านที่ขายกาแฟโดยเฉพาะ และมีตำนานเล่าว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กาแฟได้แพร่หลายมายังเอเชีย โดยชาวอาหรับเป็นผู้นำกาแฟเข้ามาปลูกที่เกาะศรี ลังกา ขณะที่ตำนานอีกเรื่องเล่าว่า ชาวอินเดียผู้หนึ่งได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟมาปลูกในประเทศอินเดีย ซึ่งเรื่องหลังได้รับการยอมรับมากกว่า โดยตำนานทั้งสองสำนวนได้แสดงให้เห็นว่า กาแฟนั้นได้แพร่หลายจากโลกอาหรับเข้ามาในเอเชีย และการบริโภคกาแฟได้แพร่หลายเข้ามายังดินแดนรอยต่อระหว่างเอเชียกับยุโรปด้วย ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 กาแฟได้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในยุโรปโดยตรง เริ่มจากที่อิตาลีในปี ค.ศ. 1605 และในปี ค.ศ. 1615 พ่อค้าชาวเวียนนา (อยู่ในประเทศออสเตรีย) ได้นำกาแฟไปจำหน่ายในยุโรปอย่างเต็มตัว ในหมู่ชาวดัตช์ (เนเธอร์แลนด์) เรียกชื่อเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า โคฟี (Koffie) นำมาจากชื่อที่ชาวตุรกีใช้เรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า “คาเวห์” และชาวอังกฤษเรียกเครื่องดื่มรสขมนี้ว่า Coffee ตามคำที่แปลงมาจากภาษาดัตช์อีกทีหนึ่ง ความนิยมบริโภคกาแฟของชาวยุโรปในช่วงเวลานี้เห็นได้จากการเกิดขึ้นของร้านกาแฟในอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในช่วงทศวรรษ 1650 และทศวรรษ 1660 ปัญญาชนของยุโรปนั้นถือว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มของยุคใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างความเฉียบคมทางปัญญา และความกระปรี้กระเปร่าในการทำงาน เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของความเป็นสมัยใหม่และความก้าวหน้า หลายครั้งที่การอภิปรายในร้านกาแฟหลายครั้งได้นำไปสู่ความพยายามผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป กล่าวได้ว่า ร้านกาแฟในยุโรปนั้นมีสถานะเป็นพื้นที่สาธารณะที่ส่งเสริมให้สังคมยุโรปเกิดความก้าวหน้าทางการเมืองและสังคม หรือที่เรียกด้วยภาษาทางวิชาการว่า ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ “ประชาสังคม” (Civil Society) อีกด้านหนึ่ง ความนิยมบริโภคกาแฟของชาวยุโรปในช่วงเวลานี้เอง ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกในนั้นต้องการผลิตกาแฟเพื่อเป็นสินค้าและล้มล้างระบบการค้ากาแฟที่ถูกผูกขาดโดยดินแดนอาหรับ เนเธอร์แลนด์เป็นชาติแรกที่สามารถผลิตกาแฟเพื่อการค้าได้สำเร็จ หลังจากที่นักเดินเรือชาวดัตช์ลักลอบนำกิ่งกาแฟของชาวอาหรับมายังกรุงอัมสเตอร์ดัม และปลูกได้สำเร็จในเรือนกระจก หลังจากนั้นในทศวรรษ 1960 บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (V.O.C.) ได้มีนโยบายให้ชวาซึ่งเป็นอาณานิคมของตน ทำไร่กาแฟขนาดใหญ่เพื่อผลิตกาแฟออกสู่ตลาดในราคาที่ต่ำกว่ากาแฟจากอาหรับ เช่นเดียวกันกับในช่วงคริสต์วรรษที่ 18 ฝรั่งเศสได้กำหนดให้อาณานิคมของตนในหมู่เกาะแคริบเบียนและอเมริกาใต้ทำไร่กาแฟขนาดใหญ่เพื่อส่งออกสู่ตลาด จากนั้นในปี ค.ศ. 1888 ก็ได้กำหนดให้เวียดนามทำการผลิตกาแฟเพื่อจำหน่ายเช่นกัน ขณะเดียวกัน ช่วงปี ค.ศ. 1780-1796 สเปนเองก็มีความพยายามที่จะให้อาณานิคมของตนในภูมิภาคนี้ คือ ฟิลิปปินส์เป็นแหล่งผลิตกาแฟ แต่โดยภาพรวมแล้วความพยายามของสเปนไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับเนเธอร์แลนด์ ในกรณีของอังกฤษเอง พบว่า บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (E.I.C.) เริ่มทำการค้ากาแฟ โดยนำเข้ากาแฟจากอาหรับผ่านอินเดีย เนื่องจากอังกฤษได้ครอบครองดินแดนบริเวณตะวันออกของอินเดีย และในปี ค.ศ. 1811–1816 อังกฤษได้ปกครองเกาะชวา โดยมองว่าการยึดครองเกาะชวาของเนเธอร์แลนด์ได้ จะเป็นผลดีต่อความปลอดภัยของอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมสำคัญของอังกฤษ ตลอดเวลาที่อังกฤษปกครองเกาะชวา อังกฤษได้ใช้นโยบายแสวงหาผลประโยชน์จากการผูกขาดการผลิตและค้ากาแฟตามแบบอย่างของเนเธอร์แลนด์ จากนั้นก็มีนโยบายให้อาณานิคมของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผลิตกาแฟขายอย่างจริงจัง เช่นเดียวกันกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ดังปรากฏว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1888 - 1906 มลายา (มาเลเซียและสิงคโปร์) ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษมีการส่งออกกาแฟในปริมาณมาก คิดเป็นลำดับ 2-3 ของภูมิภาคนี้ ก่อนหน้าที่มหาอำนาจตะวันตกจะมีนโยบายให้ประเทศอาณานิคมผลิตกาแฟเพื่อขายนั้น คนในเอเชียตกวันออกเฉียงใต้ได้รู้จักกับกาแฟอยู่ก่อนแล้ว เห็นได้จากร่องรายในบันทึกของลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสที่เข้ามายังอาณาจักรอยุธยาเมื่อปี ค.ศ. 1687 ได้กล่าวในบันทึกของเขาว่า แขกมัวร์ในประเทศสยามดื่มกาแฟซึ่งมาจากเมืองอาหรับ และผู้คนในภูมิภาคนี้สามารถซื้อหากาแฟจากพ่อค้าอาหรับได้ไม่ยากนัก ความแตกต่างระหว่างการเข้ามาของกาแฟจากอาหรับและกาแฟจากชาติมหาอำนาจยุโรป อยู่ตรงที่นโยบายการผลิตกาแฟเพื่อขายของชาติตะวันตกเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของชาติตะวันตกที่เน้นการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งๆ ในปริมาณมากๆ ตามความต้องการของตลาดเพื่อค้าขายเอากำไร ไม่เพียงแต่ประเทศอาณานิคมเท่านั้น แม้แต่สยามซึ่งไม่ได้เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกก็มีการผลิตกาแฟเพื่อส่งออก แต่การทำไร่กาแฟในสยามช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังมีไม่มากนักเพราะต้องใช้แรงงานมาก ผู้ที่ทำไร่กาแฟจึงมีเฉพาะกลุ่มเชื้อพระวงศ์และขุนนางที่มีแรงงานไพร่ในสังกัด ทั้งในช่วงรอยต่อระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น สยามมีการส่งออกกาแฟ โดยการผลิตกาแฟเพื่อขายในกรณีของสยามคงมีลักษณะแตกต่างจากการผลิตกาแฟในอาณานิคมของตะวันตกในแง่ปริมาณผลผลิต เนื่องจากสินค้าส่งออกสำคัญของสยามนับตั้งแต่ทำสนธิสัญญาเบาริงจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ ข้าว ไม้สัก ดีบุก และยางพารา ต่างจากอาณานิคมของตะวันตกที่ถูกเจ้าอาณานิคมเน้นให้ผลิตกาแฟเป็นสินค้าออกอันดับแรก ทั้งการกดขี่ขูดรีดแรงงานในการผลิตกาแฟก็มีแนวโน้มว่าสยามมีการกดขี่แรงงานน้อยกว่ามาก ทั้งนี้ร้านกาแฟร้านแรกของไทยมีบันทึกไว้ได้แก่ ร้าน Red Cross Tea Room ของชาวอเมริกันชื่อ มิสโคว์ ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1917 ลูกค้าพวกแรก ๆ ของร้านได้แก่ ชาวตะวันตก เชื้อพระวงศ์ และข้าราชการชาวสยาม เวลาต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปิดร้านกาแฟนรสิงห์ ซึ่งร้านกาแฟแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวต่างชาติและชาวไทยที่มานั่งดื่มกาแฟ ฟังดนตรี โดยลูกค้าชาวไทยเกือบทั้งหมดคือข้าราชการและคหบดีก่อนที่วัฒนธรรมการบริโภคกาแฟของชาวตะวันตกจะเผยแพร่เข้ามา ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรู้จักกาแฟที่ชาวอาหรับนาเข้ามาก่อนแล้วยังไม่นิยมบริโภคกาแฟ ชาวตะวันตกจึงเป็นผู้นำเอาวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบสมัยใหม่เข้ามาในภูมิภาคนี้ โดยในระยะแรกนั้นวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบตะวันตกยังไม่ได้ถ่ายทอดสู่คนพื้นเมืองโดยตรง เห็นได้จากกรณีของผู้คนในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (หมู่เกาะอินโดนีเซีย) ชนพื้นเมืองรู้จักดื่มกาแฟโดยเริ่มจากการเก็บเม็ดกาแฟจากมูลของอีเห็น (ชนพื้นเมืองเรียกว่า “ลูวัก”) ที่แอบมากินเม็ดกาแฟในไร่แล้วถ่ายมูลทิ้งไว้ มาล้าง ตาก คั่ว บดและลองชงดื่ม หลังจากนั้นชาวดัตช์จึงรู้จักและรู้สึกติดใจในรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟชนิดนี้ซึ่งเรียกว่า “โกปี ลูวัก” (Kopi Luwak) ซึ่งกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าชาวตะวันตกเป็นผู้นำวัฒนธรรมการดื่มกาแฟเข้ามาในอาณานิคม โดยวัฒนธรรมนี้ถูกจากัดตัวอยู่ในกลุ่มชาวตะวันตก แต่ชนพื้นเมืองได้เรียนรู้วัฒนธรรมดังกล่าวและสามารถต่อยอดจนได้กาแฟชนิดใหม่ที่ชาวดัตช์ก็นิยมกาแฟที่ชนพื้นเมืองค้นพบ การเข้ามาของวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟแบบตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวสู่การเป็นสังคมสมัยใหม่ เนื่องจากการเข้ามาของวัฒนธรรมการผลิตกาแฟและการบริโภคกาแฟตามแบบอย่างสังคมตะวันตก ทำให้คนในภูมิภาคนี้ได้สัมผัสกับการผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อขายตามกลไกของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การบริโภคกาแฟของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการรับวัฒนธรรมตะวันตกมาปฏิบัติ แต่ในบางกรณีชี้ว่า คนในภูมิภาคนี้ได้นำเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาต่อยอด กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ส่งต่อกลับไปยังชาวตะวันตก ดังเช่น กรณีของชนพื้นเมืองในหมู่เกาะอินโดนีเซียที่ค้นพบกาแฟ “โกปี ลูวัก” จากมูลของอีเห็น จึงอาจตีความได้ว่าการที่คนในภูมิภาคนี้ดื่มกาแฟตามแบบตะวันตก มีนัยยะถึงการสร้างอัตลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าตนมีวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าหรือทันสมัย เพื่อใช้ในการจัดลำดับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนภายในสังคมนั้น ๆ ดังเช่นที่ชนชั้นสูงในประเทศสยามมีการนำเอาความรู้และวิธีการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มแบบตะวันตกมาใช้ในการแสดงว่าพวกตนเป็นผู้มีวัฒนธรรมอาหารที่ศิวิไลซ์แตกต่างจากราษฎรทั่วไปและได้เผยแพร่ลักษณะเด่นนี้ให้แก่ผู้คนที่อยู่ใต้ปกครองได้รับรู้ อาจเพื่อให้เกิดการยอมรับสถานะที่แตกต่างกันระหว่างชนชั้นสูงกับราษฎรก็เป็นได้จากที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ถึงที่มาและความสำคัญของกาแฟที่กลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งในตลาดโลก ตั้งแต่ยุคอาณานิคมมามาจนถึงปัจจุบัน ผู้เขียนนำเสนอเนื้อหาของบทความได้อย่างครบถ้วน ทั้งการกล่าวถึงที่มาที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำไปสู่การถูกทำให้เป็นพื้นที่ในการสร้างผลผลิตของชาติมหาอำนาจ ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าการที่ชาติตะวันตกวางรากฐานทางเศรษฐกิจแบบการผลิตเพื่อการค้าจะส่งผลให้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ได้ปรับตัวต่อความเจริญก้าวหน้าของยุคสมัย แต่ก็ได้ทิ้งบาดแผลไว้ให้แก่ผู้คนท้องถิ่นจนนำไปสู่การตอบสนองของผู้คนในประเทศอาณานิคมในเวลาต่อมา บทความชิ้นนี้จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ได้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกได้นำมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของพืชเศรษฐกิจอย่างกาแฟ นอกจากนี้กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดร้านค้าซึ่งกลายมาเป็นพื้นที่ของประชาชนในการแสดงออกทางความคิดในด้านต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่าพื้นที่ประชาสังคมอีกด้วย....เอกสารอ้างอิง- ชุลีพร วิรุณหะ. โลกอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : รากฐานประวัติศาสตร์. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557.- ผาสุก พงษ์ไพจิตร. เศรษฐกิจและการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. เชียงใหม่ : ตรีสวิน เซิลด์เวอร์มบุคส์, 2539.- พัชนี สุวรรณวิศลกิจ. สรรสาระกาแฟ. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์นันทพันธ์, 2549.- ลาลูแบร์, ซีมอง เดอ. จดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม. สันต์ ท. โกมลบุตร (แปล). นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2548.เครดิตภาพ- หน้าปก จาก Freepik- ภาพที่ 1 Botanical drawing of Coffea arabica, around 1860 จาก Wikipedia- ภาพที่ 2 สี่กั๊กพระยาศรีในสมัยรัชกาลที่ 5 จาก Wikipedia- ภาพที่ 3 Cafe and coffee house pattern จาก Freepik- ภาพที่ 4 ถ่ายโดยผู้เขียน อัปเดตบทความไลฟ์สไตล์โดนๆ ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !