การท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งที่ช่วยพักผ่อนหย่อนใจของใครหลายๆ คน ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเรียนหรือการทำงาน การเดินทางของคนทั่วไปก็คงจะเป็นรถส่วนตัว, รถประจำทาง, รถไฟ หรือว่าเครื่องบิน แต่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสการท่องเที่ยวด้วยวิธีการโบกรถ จุดเริ่มต้นของการโบกรถน่าจะมาจากการทำค่ายอาสาของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีงบในการเดินทางไปดูสถานที่ทำค่ายค่อนข้างน้อย การโบกรถจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้น แต่ทุกวันนี้แม้จะไม่ได้ทำค่ายอาสาแล้ว แต่การโบกรถก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเสมอ วันนี้จึงอยากมาบอกเล่าเรื่องราวว่าการโบกรถท่องเที่ยวมันมีเสน่ห์ตรงไหน หลายคนอาจมองว่าเป็นความเหน็ดเหนื่อยและทรมาน แต่จริงๆ แล้วกลับสร้างความทรงจำดีๆ ที่ไม่มีวันลืมกับผู้ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง การโบกรถทำให้ได้เจอผู้คนมากมาย นักขับรถบนท้องถนนคือเป้าหมายของเรา ที่จะทำให้เราถึงที่หมายที่ตั้งไว้ การโบกรถจึงทำให้เราได้พบเจอกับผู้คนมากมาย ทั้งคนที่ขับรถมาคนเดียว รถบางคันก็ขับมาเป็นครอบครัว ยิ่งบางคนที่รู้ว่าเราไม่ได้มีรถส่วนตัวมา ก็ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ถ้าคุยกันถูกคอก็มีการติดต่อขอเบอร์ ขอเฟสเผื่อวันหนึ่งได้กลับมาที่นี่จะได้เจอกันอีก นอกจากนั้น เรายังได้รับการช่วยเหลือจาก พี่ๆ ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่อุทยาน ชาวบ้าน และคนในพื้นที่ตลอด บ่อยครั้งมากที่คนในพื้นที่จะช่วยแนะนำข้อมูลได้ดีกว่าการหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ ถ้าเป็นการท่องเที่ยวธรรมดาก็อาจจะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้คนในพื้นที่มากนัก ซึ่งการท่องเที่ยวแบบนี้ทำให้การเดินทางไปในที่ต่างๆ มีความหมายเสมอ การโบกรถทำให้ได้เห็นความมีน้ำใจของผู้คน ตลอดการเดินทางที่เริ่มจากการโบกรถ เราได้รับน้ำใจมาตลอดรถทุกคันที่โบกแล้วหยุดเพื่อถามเราว่าจะไปไหน แล้วยอมให้เราขึ้นรถเพื่อไปส่งเราให้ถึงที่หมาย สิ่งนั้นคือน้ำใจที่เราได้รับ ซึ่งนักโบกรถทุกคนซึ้งใจมากๆ และขอบคุณมากๆ เช่นกัน บางคันก็อาสาพาไปส่งเองโดยที่ไม่ได้ผ่านเส้นทางนั้น บางคันก็จอดเลี้ยงข้าวข้างทาง บางคันก็ปฏิเสธน้ำใจที่เราให้ตอบแทน อย่างเช่น ช่วงที่เรากำลังเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากดูสถานที่ทำค่ายอาสาที่กาญจนบุรีเสร็จ เราโชคดีได้เจอรถคันหนึ่งที่กำลังกลับกรุงเทพฯ พอดี เราเลยขอติดรถกลับมาด้วย ซึ่งระยะทางจากกาญจนบุรี ถึงกรุงเทพฯ ก็ค่อนข้างไกล พี่คนขับขออาสาเลี้ยงส้มตำข้างทาง แต่เราขอจ่ายเอง พี่เขาก็ยืนยันที่จะจ่ายให้ หลังจากถึงกรุงเทพฯ พี่คนขับก็ปฏิเสธค่าน้ำมันที่เรายื่นให้อีกเช่นเคย บางครั้งเราก็ได้รับน้ำใจมากเกินกว่าที่เขาคาดหวังเสมอ และนี่คือน้ำใจที่เราได้รับตลอดการเดินทางหลายๆ ครั้ง การโบกรถทำให้ได้สัมผัสบรรยากาศตลอดเส้นทาง ส่วนใหญ่การเดินทางของเรา เราจะเลือกนั่งหลังรถกระบะเพื่อที่จะได้ไม่รบกวนคนขับมากนัก ทำให้ได้เจอบรรยากาศหลากหลายรูปแบบทั้งแดดร้อน ฝนตก ลมพัด บางคนอาจจะมองว่ามันคือความทรมาน แต่สิ่งนี้มันคือความสุขของเราเลยค่ะ อย่างเช่น ช่วงที่เดินทางไปดูสถานที่จัดทำค่ายที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นทริปที่ประทับใจมากๆ อีกหนึ่งทริป เพราะได้สัมผัสบรรยากาศตลอดเส้นทางบนภูเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ที่เยอะมากๆ การเดินทางจากอำเภอแม่สอด สู่อำเภออุ้มผาง แม้ระยะทางแค่ 164 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะต้องผ่านโค้งกว่า 1,219 โค้ง ตลอดเส้นทางที่รถขับผ่านได้เห็นทั้งความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ได้เห็นความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ได้เห็นเมฆที่อยู่ใกล้ตัวเรามากๆ ได้สัมผัสความเย็นของต้นไม้ในป่า ทุกพื้นที่ที่ได้สัมผัสล้วนตระการตาไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า การได้นั่งหลังกระบะทำให้ได้สัมผัสทั้งความสุข และความตื่นเต้นที่ไม่เคยลืมเลยค่ะ การโบกรถทำให้คาดการณ์อนาคตไม่ได้ สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้น ท้าทาย และไม่ชอบการวางแผนมากนัก ไม่จำเป็นว่าจะต้องถึงที่หมายกี่โมง ต้องพักที่ไหน การโบกรถจะทำให้เราตื่นเต้นและต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ตลอดเวลา อย่างเช่นการเดินทางไปจังหวัดตาก เราออกเดินทางเวลาสายๆ ของวันนั้น เราโบกรถสองต่อจนได้ถึงตัวเมืองจังหวัดตากในเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งถือว่าช้ากว่าที่เราวางแผนไว้มาก และเราก็ไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ ณ ขณะนั้นเราเลือกที่จะหาพื้นที่ที่คิดว่าปลอดภัยสำหรับการกางเต้นท์นอน สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินเข้าไปที่สถานีตำรวจ และขอพื้นที่ว่างๆ กางเต้นท์นอน 1 คืน พี่ๆ ตำรวจก็ให้พักด้วยความยินดี พอตื่นเช้ามาพี่ๆ ตำรวจก็ใจดีไปส่งทางแยกเพื่อเราจะได้โบกรถเดินทางไปแม่สอดต่อ แผนที่วางไว้บางครั้งก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป ทำให้เราอาจจะต้องคิดแผนสำรองก่อนออกเดินทางทุกครั้ง การโบกรถทำให้เราได้ลุ้นว่าจะได้นั่งรถประเภทไหน ปกติแล้วเราเลือกโบกแค่รถกระบะเท่านั้น เพราะว่าเราสามารถนั่งหลังกระบะได้ นั่งได้หลายคน และไม่รบกวนคนขับมากนัก ทุกครั้งที่เราตั้งใจโบกรถกระบะ ก็จะมีรถคันอื่นๆ ที่จอดแล้วถามว่า “จะไปไหนกัน” และยินดีไปส่งด้วยความเต็มใจ เช่น รถยนต์ รถหกล้อ ไปจนถึงรถสิบล้อ ประสบการณ์ที่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตก็คงจะเป็นการได้นั่งรถสิบล้อกลับกรุงเทพฯ ตอนนั้นหลังจากเราลงมาจากอุ้มผางมาถึงแม่สอด เราก็หารถโบกเพื่อที่จะได้กลับกรุงเทพฯ เราได้เริ่มโบกรถตามปกติ แต่จู่ๆ ก็มีรถสิบล้อคันใหญ่มากกกก มาจอดตรงไหล่ทางใกล้ๆ ที่เรายืน ครั้งแรกก็คิดว่าพี่คนขับลงมาทำอะไรสักอย่าง แต่จริงๆ คือพี่คนขับลงมาถามว่า "จะไปไหนกัน" เราก็บอกไปว่าเราจะเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับพี่เขาเลย นั่นแหละค่ะ วันนั้นเลยได้นั่งรถสิบล้อกลับ แต่ก็ไปไม่ถึงกรุงเทพฯ นะคะ เพราะบังเอิญรถเสียที่นครสวรรค์ เราเลยได้นั่งรถไฟกลับเข้ากรุงเทพฯ แทน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ยังจำได้ถึงปัจจุบันเลยค่ะ จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมาก็อยากจะมาแชร์สิ่งดีๆ ที่ได้จากการโบกรถสำหรับคนที่ยังไม่เคยได้สัมผัส แต่การโบกรถก็มีข้อพึงระวังเช่นกัน เช่น ไม่ควรโบกรถตอนกลางคืน การโบกรถควรมีผู้ชายด้วยเพื่อความปลอดภัย และควรมีสิ่งตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนขับทุกครั้งที่ถึงที่หมายด้วยค่ะ ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ดีๆ ที่อยากบอกเล่า สำหรับใครที่เคยได้สัมผัสแล้วก็มาแชร์ประสบการณ์ดีๆ ให้ฟังกันได้นะคะ ภาพถ่ายทั้งหมด : โดยผู้เขียน