ถ้าคุณจะไปท่องเที่ยวในประเทศอิตาลี คุณจะนึกถึงอะไรเป็นที่แรก หลายคนคงต้องแวะเยี่ยมเยือนเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่และมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างโรม เมืองแห่งแฟชั่นสุดทันสมัยอย่างมิลาน หรือแม้แต่เมืองแห่งสายน้ำที่แสนจะโรแมนติกอย่างเวนิส แต่ถ้าคุณสนใจการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติที่จะสร้างความประทับใจไปอีกนานแสนนาน คุณต้องมาที่นี่ เทือกเขาโดโลไมท์ อุทยานแห่งชาติแห่งเดียวของอิตาลี วันนี้เราจะมาพาคุณไปเที่ยวด้วยกัน อันที่จริงแล้วเทือกเขาโดโลไมท์นี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง และยังได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2009 อีกด้วย โดยตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศอิตาลี ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างใหญ่ของแคว้น South Tyrol และแคว้น Veneto สิ่งที่เป็นลักษณะที่โดดเด่นที่ทำให้มี นักท่องเที่ยวเดินทางมากันมากมาย จุดเด่นของ เทือกเขานี้ ก็คือภูเขาที่เป็นหินปูนและทัศนียภาพที่โดดเด่น ด้วยภูมิทัศน์ที่เป็นภูเขาล้อมรอบปราสาท ทะเลสาบ และหมู่บ้านเล็กๆ ตามหุบเขา เราเดินทางมาพักที่เมือง Coritna เมืองแห่งการเล่นสกีที่โด่งดังเมืองหนึ่งในทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี การค้างคืนที่นี่ทำให้สะดวกในการเดินทางไปขึ้นเขา Dolomite จริงๆการเดินทางไป Dolomite ถ้าอยากสะดวกสบาย ก็สามารถเช่ารถขับกันไปได้เลย แต่เราเลือกเดินทางโดยรสบัสที่สถานีในเมือง มีนักท่องเที่ยวมารอต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วกันแต่เช้า Highlight อีกแห่งที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ ทะเลสาบ มิซูรีนา (Lake Misurina) ซึ่งเป็นจุดที่รถบัสมาเปลี่ยนสายที่นี่พอดี เราได้มีโอกาสลงเดินเล่นเพื่อเก็บภาพช่วงสั้นๆ ภาพที่มองเห็นตรงหน้ามันสร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก ทุกอย่างดูเหมือนภาพวาดที่ชัดแจ๋ว ยิ่งถ้าได้มาในวันที่อากาศดีละก็ ถือว่ากำไรสุดๆ เพราะในเวลาที่ลมนิ่งๆ ทะเลสาบจะใสเหมือนกระจก สะท้อนเงาของภูมิทัศน์รอบๆทะเลสาบ ให้ภาพความทรงจำที่ยากจะลืมได้ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านไกลของทะเลสาบจากมุมยอดฮิตของการเก็บภาพ เป็นตึกทรงโบราณ ที่ในอดีต เป็นตึกพักรักษาตัวสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการเดินหายใจ ซึ่งไม่น่าแปลก เพราะที่นี่ อากาศบริสุทธิ์มาก ๆ สมแล้วกับการเลือกให้เป็นที่พักผ่อนและที่รักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านนี้เป็นกรณีพิเศษ เราเดินทางต่อไป โดยรถบัสมาสิ้นสุดลงที่ Rifugio Auronzo จากนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นเขาไปตามทางที่มีกำหนดบอกไว้เป็นระยะ ตลอดทางของการขึ้นเขานี้ เราจะเห็นภูเขาลูกเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทอดตัวสลับกันไป มีทางเดินพอให้สวนทางกันได้ แต่ก็มีความหวาดเสียวเป็นบางช่วง ทางเดินไม่ค่อยชันมากเท่าไหร่ แต่เนื่องจากบนทางเดินมีหินกรวดอยู่ตลอดทาง ต้องมีความระมัดระวังว่าอาจจะทำให้ลื่นได้ นักเดินเขาส่วนใหญ่จึงมักจะใช้ trekking pole หรือไม้เดินป่าในการช่วยทรงตัว ทำให้สามารถเดินได้เร็วและมีความปลอดภัย สุดท้าย เราก็ดั้นด้นเดินมาจนถึงจุดหมาย ซึ่งเป็น highlight ของ Dolomite มีชื่อเรียกว่า Tre Cime di Lavaredo หรือ Three Peaks of Lavaredo โดยมียอดเขา 3 ลูกเรียงต่อกัน มีชื่อเรียกว่า Cima Piccola (little peak) Cima Grande (big peak)และ Cima Ovest (western peak) จากการมองระยะไกล เราก็เห็นเจ้าเขา 3 ยอดนี้แล้ว มันยิ่งใหญ่ แล้วก็ดูโดดเด่นมากๆ เทียบขนาดกับตัวคน เรานี่ตัวจิ๋วไปเลย กว่าจะไปถึงที่พัก ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ลมเริ่มแรง ซักพักเริ่มเห็นเหมือนเป็นทะเลหมอกมาพร้อมกับฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก บดบังยอดเขาไปเกือบครึ่ง อากาศหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ เสียดายที่ออกไปถ่ายรูปรอบๆที่พักไม่ได้ เราเลยขึ้นไปดูห้องพักซะหน่อย เค้าจัดห้องไว้ให้เป็นห้องรวม สิ่งที่ต้องทำใจหน่อยสำหรับที่พักบนเขาคือ เค้าต้องประหยัดน้ำ ดังนั้น เราสามารถอาบน้ำในห้องน้ำรวมได้ แต่ถึงแค่เวลา 18.00 และมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย เราเลยตัดสินใจไม่อาบ เพราะนอนแค่คืนเดียว ทนไหว ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ก็โอเคแล้ว โชคดีมากๆ ที่บรรยากาศยามเช้า สดใสมาก มีแดดออก เรารีบเก็บภาพให้ได้มากที่สุด ชดเชยกับที่พลาดโอกาสตอนขามา เพราะเจอฝนไปพอสมควร เดินชมบรรยากาศรอบๆที่พักก่อนเดินทางกลับ สำหรับ Dolomite และ Tre Cime di Lavaredo แห่งนี้ ถ้ามีโอกาสเราต้องกลับมาอีกแน่นอน รูปภาพ: ถ่ายเองทั้งหมด