สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทย และแฟนบอลชาวไทยทุกคน วันนี้ขอเสนอประวัตินักเตะคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็รู้จัก เจ้าของรางวัล PFA (นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ) และรองเท้าทองคำดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2 ปีติด ฉายา “The King Of Egypt” แน่นอนว่ามีคนเดียวเท่านั้น คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ โม ซาลาห์ นักเตะทีมลิเวอร์พูลเรามาติดตามการเดินทางของ โม ซาลาห์ บทเส้นทางฟุตบอลไปพร้อม ๆ กันเลยครับ มุฮัมมัด เศาะลาห์ หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เกิดวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1992 โดยเกิดที่ เมืองบาสยูน ประเทศอียิปต์ โดยจุดเริ่มต้นของ โม ซาลาห์ นั้น เริ่มต้นจากการเล่นให้ทีมเยาวชนในลีกของประเทศอียิบ ด้วยที่ใจมานะ และพรสวรรค์ ศักยภาพของเขาก็เริ่มที่จะแสดงออกมาเรื่อย ๆ จนไปเตะตาแมวมองของทีมบาเซิ่ล ทีมใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งแน่นอน เขาสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถยิงประตูแรกให้กับตัวเองได้ในวันที่ 23 มิถุนายน 2012 โดยการยิงใส่ทีมสเตอัว บูคาเรสต์ หลักจากนั้นโม ซาลาห์ก็ได้รับโอกาสในการเล่นมากขึ้นเรื่อย และพาทีมการคว้าแชมป์อูเรน คัพ หลังจากนั้นฟอร์มร้อนแรงไม่หยุดจนไปเข้าตา “เดอะ สเปเชียล วัน” โชเซ่ มูรินโญ่ จนในที่สุดในฤดูกาล 2013/2014 เชลซี ได้ปิดดีลกับ โม ซาลาห์ "สิงห์บลูส์" เชลซี ได้ปิดดีลกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยราคาค่าตัว11 ล้านปอนด์ (ประมาณ 478 ล้านบาท) และ โม ซาลาห์ ยังเป็นนักเตะอียิปต์คนแรก ที่ได้ย้ายมาเล่นให้กับเซลซี โดยโม ซาลาห์ สามารถยิงประตูแรกในสีเสื้อเชลซี โดยยิงใส่นิวคาสเซิ่ล โดยลงมาแทนออสการ์ ซึ่งเป็นการเปิดตัวที่สวยงาม แต่หลังจากนั้น ชีวิตของโม ซาลาห์ไม่ได้สวยดังที่เขาวาดฝันไว้ เนื่องด้วยเจ้าตัวมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องทางการทหารจนต้องกลับบ้านเกิด ทำให้เจ้าตัวลงเล่นในสนามน้อยมากๆ บวกกับการมาของ เอเด็น อาซาร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับโมซาลา นั้นทำให้เขาได้ลงเล่นน้อยกว่าเดิมอย่างมาก จนทำให้เขาต้องย้ายอยู่กับ ฟิออเรนติน่า ทีมจากศึกเซเรีย อา ในฤดูกาล 2014/2015 หลังจากย้ายมาอยู่ทีมฟิออเรนติน่า ด้วยสัญญายืมตัว เจ้าตัวได้ลงเล่นมากขึ้น หลังจากนั้นฟอร์มของเค้าก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ และตัวเป็นหลักในการผลิตสกอร์ให้กับทีม จนจบฤดูกาล 2014/2015 "ม่วงมหากาฬ" พยามยามที่จะเซ็นสัญญาแบบถาวรกับ โม ซาลาห์ แต่เจ้าตัวปฏิเสธและตัดสินใจย้ายทีมไปอยู่ "หมาป่าเหลือง-แดง" โรม่า ในฤดูกาล 2015/2016 โม ซาลาห์ ย้ายมาอยู่กับ โรม่า ด้วยราคาค่าตัว 15 ล้านปอนด์ (652 ล้านบาท) ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาตลาด 1 ปีที่อยู่กับทีมฟิออเรนติน่า และยังได้เล่นลีคเดิม นั้นทำให้เจ้าไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย บวกกับการมีนักเตะในทีมที่มีคุณภาพสูงขึ้น นั้นทำให้โม ซาลาห์ เล่นได้ดียิ่งขึ้น โดยโม ซาลาห์ในสีเสื้อโรม่านั้นซัดไป 15 ประตูและอีก 6 แอสซิส พร้อมกับรับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรไปครองแบบไม่มีใครค้าน ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม นั้นทำให้ “เดอะ นอร์มอล วัน” เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล อยากได้นักเตะสายเลือดอียิปต์รายนี้ หลังจากมีข่าวสักพัก ยอดทีมแห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซีย์ไซด์ อย่างลิเวอร์พูล ก็ได้จรดปากกาคว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ในที่สุด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ย้ายจากโรม่า มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวสูงถึง 42 ล้านปอนด (ประมาณ 1827 ล้านบาท) เป็นค่าตัวสูงสุดของสโมสรในขณะนั้นซึ่งแน่นอน ด้วยค่าตัวที่สูงก็ต้องมาพร้อมความหวังและแรงกดดัน จนหลายคนมองว่า นักเตะที่เคยล้มเหลวกับเซลซี และยังมีค่าตัวสูงสุดของทีมน่าจะเล่นไม่ออก หรือเล่นไม่คุ้มค่าตัวแน่นอน แต่ความเป็นจริงหลังจากนั้น เจ้าตัวได้ระเบิดฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง จนหักปากกาเซียนหลานคนในขณะนั้น การมาของโม ซาลาห์ เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญในการถล่มประตูของทีมลิเวอร์พูล การยิงประตูที่มากมาย จนเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2 ปีติด และยังได้รางวัล PFA (นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ) และ นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เม็ดเงินที่ลิเวอร์พูลเสียไปนั้น มันคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ และโม ซาลาห์ก็ยังเป็นที่รักของแฟนบอลลิเวอร์พูล ถึงขนาดมีเพลงประจำตัวของ โม ซาลาห์ นั้นคือเพลง Mo Salah Song ทุกครั้งที่โม ซาลาห์ยิงประตูได้ แฟนบอลทั่วสนามก็จะร้องเพลง Mo Salah Song เสียงดังลั้นสนาม จนถึงปัจจุบัน และนี้ล่ะครับคือเรื่องราวส่วนหนึ่งของ “The King Of Egypt” โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จบ... แหล่งที่มาภาพ ภาพประกอบที่ 1 Sport TrueID ภาพประกอบที่ 2 Sport TrueID ภาพประกอบที่ 3 Sport TrueID ภาพประกอบที่ 4 Sport TrueID ภาพประกอบที่ 5 Sport TrueID ภาพประกอบที่ 6 Sport TrueID