...เหตุผลของการมีชีวิตอยู่? คงเป็นคำถามที่หลายคนเคยประสบพบเจอกันมาแล้วแทบทุกคน... คำถามนี้มาเกิดกับผมชัดๆ ตอนที่ผมป่วยเข้าโรงพยาบาล ด้วยภาวะช๊อค จนต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลด้วยสภาพร่างกายตอนนั้น ผมอายุประมาณ 40 ปี ซึ่งก็คาบเกี่ยวกับการเดินทางในชีวิตมาครึ่งชีวิต ถ้าลมหายใจคนเราเฉลี่ย 80 ปี ตอนนั้น ผมมีน้ำหนักตัวที่ 120 กิโลกรัม และมาพร้อมด้วยอภินันทนาการของตัวเลขความดัน , เบาหวาน , คอลเลสเตอรอล ตามมา ด้วยการที่ประมาณกับการใช้ชีวิต ทานอาหารไม่ตรงเวลา ทานอาหารเช้า ตอน เที่ยงวัน ทานอาหารเย็นตอน สี่ทุ่ม กินอาหารขยะ ที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกาย เข้านอนตอน ตี2 ตื่นนอนตอน ตี5 เอาเป็นว่ามันเป็นช่วงวิกฤตของชีวิตและช่วงประมาทของชีวิตผมเลยก็ว่าได้ ...แล้วความคิดในสมองตอนชีวิตร่างกายวิกฤตก็เข้ามา ... ...ทำไมเราจึงต้องมีชีวิตอยู่?... เชื่อไหมครับว่าสิ่งแรกที่เข้ามาในสมองและจิตใจ คือ ลูกสาว ของผมเอง ในชีวิตผมมีลูกสาว 1 คนครับเธอกำลังเติบโตงอกงามตามวิถีของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งคนเป็นพ่ออย่างผมก็อยากที่จะส่งเสริมให้เธอเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่สามารถแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาแก่ผู้คนที่เข้ามาในชีวิตเธอได้ แต่ตอนนั้นวินาทีที่ผมเข้าโรงพยาบาล ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะมีชีวิตรอดไหม คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าผมปลอดภัยและรอด ผมจะไม่มักง่ายกับการใช้ชีวิตอีกแล้ว ผมยังอยากมีลมหายใจที่จะดูแลลูกสาวของผมเติบโตต่อไปเท่าที่ทำได้และแล้วภารกิจปฏิวัติตัวเองก็เกิดขึ้นหลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่คิดต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อนผมมีปัญหากับโรคที่รุมเร้าทั้งเบาหวาน,ความดัน, คอลเรสเตอรอสต้องปรับกระบวนการของการใช้ชีวิตและแผนการจัดการชีวิตก็ถูกนำออกมาใช้ ด้วยการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองได้บ้าง เมื่อจัดการระบบความคิดได้ และมั่นใจว่าได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว ที่เหลือ คือ ก็ต้องลงมือทันที อันนี้แหละครับที่มันยากเสียยิ่งกว่ายาก เพราะอะไรทราบไหมครับ? การเอาชนะความคิดมันง่ายครับ เพราะมนุษย์เราชอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอๆ แต่การเอาชนะใจของตัวเองนี่สิครับ มันยากมาก สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ผมปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จก็ คือ การสร้างวินัย ในตัวเองให้ได้ และการพยายามเพิ่มตารางชีวิตใหม่ใส่เข้าไปในตารางชีวิตเดิมให้ได้ แผนการของผมก็คือ 1.ผมเริ่มต้นที่จะควบคุมอาหารเลือกทานแต่ของที่ มีประโยชน์ งดของทอด ของมัน ตัดของหวาน ขนมไม่แตะ โดยมี ภรรยาผมเป็นผู้ควบคุมและให้กำลังใจกันในยามที่ผมท้อ อันนี้สำคัญมากนะครับ 2.เริ่มออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย เรื่องที่จะออกกำลังกายเชื่อมั้ยครับว่าครั้งแรกที่ผมหยิบรองเท้าออกกำลังกายแค่เห็นผมก็หอบแล้ว วันแรกที่เริ่มผมเริ่มที่จะเดิน,เดิน,เดินแล้วก็เดิน บอกกับตัวเองว่าเราจะต้องมีวินัยเราจะต้องมีลมหายใจและเป้าหมายของผมคือการได้เห็นลูกสาวของผม เติบโตต่อไป จาก 1 วัน เป็น 2 วัน จาก วัน เป็น สัปดาห์ จาก สัปดาห์ เป็น เดือน จาก เดือน เป็น ปี ผมทำอย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ จดจ่ออยู่กับมันเริ่มแบ่งเวลาชีวิตให้กับตารางสุขภาพมากขึ้น จนมันเป็นตารางชีวิตใหม่และเป็นกิจวัตรประจำวันในชีวิตไปแล้ว สิ่งที่เริ่มเห็นตามมา คือ น้ำหนักผมเริ่มลดลงจาก 120 เหลือ 110 จากเหลือ 100 เหลือ 90 หรือ 80 จนถึง 78 ในปัจจุบัน ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองเกือบสองปี กว่าจะเอาชนะใจตัวเองได้ และสิ่งที่เป็นผลพลอยได้ตามมา คือ ผมสามารถวิ่งจบมินิมาราธอนระยะ 10 กิโล ผมสามารถวิ่งจบระยะฮาฟมาราธอนที่ระยะ 21 กิโล ผมสามารถวิ่งจบระยะมาราธอน 42.195 กิโล และปัจจุบันผมสามารถจบ Ironman 70.3 ได้สำเร็จ ที่มีกีฬาสามชนิดรวมกันไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ,ปั่นจักรยาน,และวิ่ง ชีวิตผมมาไกลมากเมื่อหันกลับไปมองข้างหลังไม่คิดว่าตัวเองจะมาได้ไกลขนาดนี้ แต่พอนึกๆดูแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมมายืนตรงจุดนี้ได้ มี 3 อย่างครับ คือ 1.วินัย ผมไม่เคยล้มเลิกแม้ในบางครั้งมันจะล้มเหลว 2.ผมมีภรรยาที่ดีคอยเติมเต็มใจผมในยามที่ผมไม่ไหว 3.ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ ลูกสาว และได้ดอกเบี้ยคืนกลับมาด้วย คือ ตัวเลขสุขภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องทานยา ผมยังได้ชีวิตใหม่กลับมาอีกด้วย ... ผมยังมีโอกาสได้เห็นลูกสาวของผมเธอได้เติบโตต่อไปและผมยังมีเป้าหมายในชีวิตที่อยากจะทำในช่วงที่มีชีวิตอยู่ เมื่อคิดได้ว่าอยากจะทำอะไร ผมมักจะเริ่มลงมือทำทันทีโดยไม่รีรอ เพราะผมเชื่อว่า ชีวิตนี้มันน้อยนักแต่สำคัญนัก แล้วคุณผู้อ่านละครับรู้ไหมครับว่า ตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? #ครูอ๊อฟ Cr.ภาพโดยนักเขียน