ภาพปกจาก : https://pixabay.com หลังจากปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น มาได้สักพักใหญ่ ๆ ปกติแล้ว น้อง ๆ คงต้องเตรียมตัวเข้าสู่การเรียนในภาคการศึกษาใหม่กันอีกครั้ง แต่ปีนี้ดันไม่เป็นแบบนั้นสิ เนื่องจาก COVID-19 ที่ระบาดอย่างหนัก จึงส่งผลให้สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ ทั้งโรงเรียนเอย มหาวิทยาลัยเอย สถาบันสอนพิเศษเอย ต่างพากันเลื่อนเวลาเปิดออกไป เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นน้อง ๆ จึงยังพอมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกสองเดือนกว่า ๆ เลยนะ (ถึงแม้ว่ากิจกรรมที่พูดถึงจะจำกัดแค่ในบ้านก็เถอะ) แต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น รับรองว่าสถานศึกษาทุกแห่งก็จะเปิดตัวและนั่นแสดงว่าถึงเวลาที่น้อง ๆ จะต้องไปเรียนหนังสือแล้วค่ะ บางคนอาจจะร้อง เฮ้อ ! แล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน นี่ต้องตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือติดต่อกันสี่ห้าเดือนโดยไม่มีปิดเทอมเลยหรอเนี่ย ฝันร้ายชัด ๆ แต่การเรียนคือสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นไม่ว่าน้อง ๆ จะถอนหายใจอีกกี่ร้อยครั้ง มันก็ไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ ยังไงก็ยังต้องเรียนอยู่ดี พี่ฮานะเข้าใจว่าการจะทำใจไปเรียนหลังจากอยู่บ้านตีพุงสบาย ๆ มาเป็นเวลาหลายเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมเนื้อหาที่เรียนก็คงยากขึ้นด้วย วันนี้พี่ฮานะจึงรวบรวม 6 ข้อ ที่จะช่วยให้การเรียนของน้อง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจไม่ถึงกับร้อง ว้าว ! แต่ถ้าทำตามที่แนะนำไปล่ะก็ จะเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเลยค่ะ 1. ที่นั่งก็สำคัญนะภาพประกอบโดย : https://pixabay.comที่นั่งที่น้อง ๆ นั่งเรียนจะต้องไม่ทำให้เสียสมาธิ พี่ฮานะไม่ได้บอกให้น้อง ๆ ไปแย่งแถวหน้าสุดหรอกนะคะ ไม่จำเป็นต้องนั่งแถวหน้าสุดก็ได้ค่ะ อาจจะอยู่ตรงกลาง อยู่ตรงซ้าย ตรงขวา ได้ทั้งนั้นเลยค่ะ แต่น้อง ๆ ต้องสำรวจพฤติกรรมตนเองเวลาเรียนด้วยนะคะ ว่าน้อง ๆ ไม่ได้เป็นคนเสียสมาธิง่าย วอกแวกบ่อย ชอบเหม่อลอย ตัวเล็ก สมาธิสั้น หรือมีปัญหาทางด้านสายตา เพราะไม่งั้นถ้าหากว่านั่งข้างหลังแล้วล่ะก็ คะแนนอาจหล่นฮวบเอาได้เลยล่ะ2. ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนภาพประกอบโดย : https://pixabay.comการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ เพราะจะช่วยให้น้อง ๆ มีกำลังใจในการเรียน พี่ฮานะขอแบ่งการตั้งเป้าหมายเป็น 2 ระยะให้น้อง ๆ เข้าใจง่าย ๆ นะคะ ซึ่งได้แก่ เป้าหมายระยะสั้นและเป้าหมายระยะยาว ยกตัวอย่างการตั้งเป้าหมายระยะสั้น เช่น ฉันจะอ่านหนังสือทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาทีเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แบบนี้เป็นต้นค่ะ ส่วนการตั้งเป้าหมายระยะยาวก็เช่น ในอีก 3 ปีข้างหน้า ฉันจะเรียนต่อที่นี่ สอบเข้าคณะนี้และจะทำงานที่นั่น ซึ่งการตั้งเป้าหมายจะสำเร็จก็ต่อเมื่อน้อง ๆ ปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง แต่อย่าไปเคร่งครัดจนเกินไป อาจจะทำให้เครียดแล้วล้มเลิกกลางทางได้ ค่อย ๆ ไปทีละนิดแต่ไปอย่างสม่ำเสมอ แบบนี้มั่นคงและปลอดภัยกว่าค่ะ3. เรียนทุกครั้ง ต้องมีสมาธิภาพประกอบโดย : https://pixabay.comน้อง ๆ รู้มั้ยคะว่า “การขาดสมาธิ” คือตัวการที่ทำให้น้อง ๆ เรียนได้ไม่ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการขาดสมาธิถือเป็นอุปสรรคต้น ๆ ของการเรียนเลยค่ะ เพราะถ้าหากน้อง ๆ ไม่มีสมาธิ ต่อให้หักโหมอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย เข้าเรียนทุกคาบไม่เคยขาด หูก็ฟังอาจารย์แทบไม่เคยกระดิก เกรดของน้อง ๆ ก็ไม่ขึ้นหรอกค่ะ ลองสังเกตตัวเองดูนะคะ เวลาที่น้อง ๆ คิดถึงเรื่องอื่นในขณะที่กำลังอ่านหรือฟังอาจารย์สอนอยู่ แบบนี้เรียกว่าขาดสมาธิค่ะ เพราะน้อง ๆ ขาดการจดจ่อ สมาธิจึงหลุดลอยไปกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า ดังนั้นถ้าหากอยากจัดการกับสมาธิตัวเองล่ะก็ น้อง ๆ ต้องเคลียร์ตัวเองให้พร้อมก่อนนะคะ จัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้น่าอยู่ อย่าพยายามทำอะไรหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เพราะการจดจ่อกับหลายอย่างในเวลาเดียวกันนั้น น้อง ๆ จะสังเกตได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาได้ไม่ดีสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากน้อง ๆ ไร้อารมณ์อ่านหนังสือในตอนนั้น พี่ฮานะแนะนำว่าอย่าเพิ่งอ่านดีกว่าค่ะ ใช้เวลาทำใจให้สบาย ให้อารมณ์ผ่อนคลายขึ้นหน่อยแล้วค่อยอ่านก็ไม่สายค่ะ แต่ถ้าน้อง ๆ ยังพบว่าตัวเองยังขาดสมาธิอยู่ล่ะก็ ลองโยนโทรศัพท์มือถือไปให้พ้น ๆ ตอนอ่านหนังสือดูสิคะ จะช่วยได้เยอะเลย หรือจะหาเวลาว่าง ๆ มาทำสมาธิบ้างก็จะดีมากค่ะ4. รู้วิธีรับมือแต่ละวิชาภาพประกอบโดย : https://pixabay.comถึงแม้วิชาเรียนที่น้อง ๆ ต้องเรียนจะเยอะมากเพียงใด แต่ถ้าหากน้อง ๆ เข้าใจและเลือกเรียนได้ล่ะก็ ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอนค่ะ ปัญหาของคนเรียนไม่เป็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ แยกไม่ออกว่า “วิชาไหนควรใช้ความจำ วิชาไหนควรใช้ความเข้าใจและวิชาไหนควรใช้ทั้งสอง” อย่างคณิตหรือฟิสิกส์ เป็นวิชาที่เน้นความเข้าใจ น้อง ๆ จะมานั่งอ่านแล้วจำสูตรอย่างเดียว แต่ใช้สูตรไม่เป็น ไม่เข้าใจที่มาที่ไปสักอย่าง แบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ อย่างวิชาชีวะและเคมีก็ต้องใช้ทั้งความเข้าใจ ความจำและทักษะค่ะ ส่วนภาษาก็ต้องทำความเข้าใจถึงโครงสร้างประโยคและอาจต้องจำในส่วนของคำศัพท์และกฎต่าง ๆ เพิ่มด้วยค่ะ5. ไม่เข้าใจตรงไหน ให้ถามภาพประกอบโดย : https://pixabay.com“การตั้งคำถาม จะนำมาซึ่งคำตอบ” เวลาน้อง ๆ ไม่เข้าใจตรงไหนให้ถามเลยค่ะ เพราะการถามจะทำให้เราได้รับคำตอบ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น อย่าไปอายเวลาเพื่อน ๆ ล้อนะคะ คนที่ควรอายไม่ใช่คนที่ไม่รู้แล้วยกมือถาม แต่คือคนที่ไม่รู้แล้วยังไม่กล้าถามต่างหาก ทั้งนี้ น้อง ๆ อาจจะถามทั้งในคาบเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้นะคะ พี่ฮานะเชื่อว่าอาจารย์ไม่ดุหรอกค่ะ หรือถ้าหากน้อง ๆ อยากรู้เพิ่มเติมจากที่ได้รับคำตอบก็อาจจะหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ได้นะคะ สมัยนี้หาง่ายสะดวกมาก ดังนั้น ไม่รู้ตรงไหน ก็ถามไปเถอะค่ะ6. สรุปเนื้อหาให้เข้าใจง่ายในแบบของเราภาพประกอบโดย : https://pixabay.comการสรุปเนื้อหาหลังเรียนนั้นก็เป็นอีกข้อที่สำคัญมากค่ะ น้อง ๆ จะขาดไม่ได้เลยนะคะ เพราะบางวิชาอาจมีเนื้อหาที่ต้องจำหรือต้องทำความเข้าใจเยอะมาก จะให้จำทั้งหมดสมองน้อง ๆ ก็คงบวมพอดีค่ะ ดังนั้นน้อง ๆ จึงควรสรุปเนื้อหาบางส่วนที่สำคัญ ๆ (เน้นว่าที่สำคัญ) ออกมาในรูปแบบของตัวเอง ใครที่ชอบวาดรูป ก็อาจจะวาดเป็นรูปภาพต่าง ๆ แล้วนำมาเชื่อมโยง ใครชอบเขียนก็อาจสรุปออกมาเป็น Mind Mapping ใครชอบเล่าเรื่องก็อาจแต่งเป็นเรื่องราวยาว ๆ แล้วเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง (ถ้าอาย จะเล่าให้ตัวเองฟังในกระจกก็ได้นะ) หรือถ้าใครชอบร้องเพลงก็อาจจะแต่งเนื้อหาออกมาเป็นบทเพลงเพื่อให้จำง่ายขึ้น เลือกเอาวิธีที่คิดว่าเข้ากับตนเอง ทำแล้วสนุก จะทำให้น้อง ๆ ไม่เบื่อและเข้าใจกับเนื้อหาที่ยากขึ้นเยอะเลยค่ะนอกจากที่พี่ฮานะแนะนำมาข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีมากมายที่จะช่วยให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จในการเรียนนะคะ อย่าเพิ่งท้อค่ะ ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอก แต่ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคที่เลอเลิศแค่ไหน ถ้าน้อง ๆ ไม่ปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ เดี๋ยวทำ เดี๋ยวขาด ความสำเร็จก็ย่อมไม่เกิดขึ้นมาให้น้อง ๆ ได้ชื่นชมหรอกค่ะ ฉะนั้น สู้ ๆ เข้าไว้นะคะ พี่ฮานะเป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ