เมื่อเงินเดือนออก มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ต่างก็ดี๊ด๊า คิดถึงร้านอาหารอร่อย ๆ บุฟเฟ่ชาบูปิ้งย่าง ของที่อยากได้ แต่เดี๋ยวก่อน!! สิ่งแรกที่เราต้องทำก่อนที่จะใช้เงินเดือน คือการจัดสรรเงินเดือน เพราะถ้าหากเราไม่เริ่มจัดสรรเงินเดือนเป็นอันดับแรก เราอาจจะใช้ตามใจตัวเองจนเหลือไม่พอใช้ก็ได้ กว่าเงินเดือนเดือนใหม่จะออก อาจจะต้องกินแกลบโดยใช่เหตุวันนี้เราเลยจะมาแบ่งปันวิธีการจัดสรรเงินเดือนของเรา ที่เราลองทำแล้วมันโอเคเลยค่ะ เรามีเงินใช้จ่ายสิ่งต่าง ๆ ช้อปปิ้งตามใจตัวเอง และยังเหลือเก็บและนำไปลงทุนเพื่อต่อยอดอีกด้วย วิธีของเราปรับมาจากหนังสือการบริหารจัดการเงินหลาย ๆ เล่มที่เราเคยอ่านมา เช่น พ่อรวยสอนลูก และ The richest man in Babylon ซึ่งเป็นหนังสือที่น่าสนใจเลยทีเดียว ไว้จะมาทำรีวิวให้ดูกันนะคะก่อนจะเริ่ม ขอชี้แจงสักเล็กน้อย ทุกคนไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินตามเราทั้งหมดนะคะ อยากให้ทุกคนนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองมากกว่า แค่ดูวิธีของเราเป็นแนวทางก็พอ จะได้ไม่อึดอัดหรือหละหลวมเกินไปเนอะมาเริ่มกันเลยค่ะ โดยหลังจากที่บริษัทโอนเงินเดือนเข้ามาในบัญชีของเราปุ๊บ เราจะทำการจัดแบ่งเงินเดือนก้อนนี้ออกเป็น 3 ก้อนใหญ่ ก้อนที่ 1 เงินออมและเงินลงทุนก้อนที่ 2 ค่าใช้จ่ายก้อนที่ 3 เงินเพื่อเป้าหมายในอนาคตก้อนที่ 1 : เงินออมและเงินลงทุน “Pay yourself first” แปลว่า “จ่ายให้ตัวเองก่อน”เป็นหลักการที่นักการเงินมักจะพูดคำนี้กันบ่อย ๆ หมายถึงเงินที่เราหามาได้เนี่ย เราควรจะเก็บไว้ให้ตัวเองก่อน ก่อนที่จะนำไปให้คนอื่น(ซื้อของ จับจ่ายใช้สอย)โดยเราจะแบ่งเงินก้อนนี้ออกเป็น 2 ก้อน ก็คือ เงินออมเผื่อฉุกเฉิน และ เงินลงทุน1.เงินออมเผื่อฉุกเฉิน *สำคัญสุด*เราจะต้องมีเงินออมเผื่อฉุกเฉินไว้เสมอ ไว้เผื่อเจอเรื่องฉุกเฉินที่ต้องใช้เงิน เช่น ตกงาน ประสบอุบัติเหตุ หรือโทรศัพท์เสีย จำเป็นต้องซื้อใหม่ หลายคนก็น่าจะตระหนักถึงเงินออมฉุกเฉินกันมากขึ้น เพราะตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงโรคระบาด Covid-19 ทำให้เศรษฐกิจถดถอย เงินน้อยลงและข้าวของแพงขึ้น หากเราไม่มีเงินสำรองไว้เลยก็อาจจะลำบากคำถาม : เราควรมีเงินออมเผื่อฉุกเฉินเท่าไหร่ล่ะตามหลักการเงิน เราควรมีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่ายแต่ละเดือน แต่ถ้าใครจะออมมากกว่านั้นก็ยิ่งดีค่ะ จะทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้นเช่น ถ้ามีรายจ่ายค่านู่นค่านี่รวมแล้วตกเดือนละ 20,000 บาท ก็จะต้องมีเงินเก็บสำรองอย่างต่ำ ๆ 60,000 บาทนั่นเองคำเตือน‼️ หากไม่มีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน อย่าเพิ่งคิดจะไปลงทุนค่ะ เก็บเงินออมกันให้ได้ก่อนน้า2.เงินลงทุนหลังจากที่เรามีเงินออมสำรองไว้ประมาณนึงแล้ว เราสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้ลงทุนได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินมันงอกเงย แต่จำเอาไว้เลยว่าเงินที่จะนำไปลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็น ไม่ใช้เงินสกุลเยนของญี่ปุ่นนะคะ ฮ่า ๆ เงินเย็นที่หมายถึง ก็คือเงินที่เราไม่ต้องรีบใช้ เพราะการลงทุนจะต้องใช้เวลาในการสร้างผลตอบแทนนั่นเองเราสามารถเลือกนำไปลงทุนได้หลากหลายตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมต่าง ๆ หุ้นผลประกอบการดี ๆ สักตัว หรือหุ้นที่จ่ายปันผลพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ที่เครดิตดี ๆทองคำ น้ำมันลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซื้อคอนโด ทาวน์โฮมไว้ปล่อยเช่าฯลฯคำเตือน!! เราควรจะศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ ก้อนที่ 2 : ค่าใช้จ่าย หลังจากแบ่งออมและลงทุนแล้ว สิ่งที่ต้องวางแผนต่อมาคือค่าใช้จ่ายนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าประกันรถยนต์ ประกันสุขภาพ ฯลฯ สารพัดค่าจริง ๆ คนมี(สารพัด)ค่าอย่างเรา จะต้องวางแผนค่าใช้จ่ายดี ๆ นะคะ เพื่อให้ไม่บานปลายจนกระทบส่วนอื่น ๆโดยเราแบ่งก้อนค่าใช้จ่ายออกเป็นก้อนย่อย ๆ 3 ก้อน ก็คือ ค่าใช้จ่ายพวกหนี้สิน ค่าใช้จ่ายประจำเดือน และค่าใช้จ่ายเพื่อความคุ้มครอง1.ค่าใช้จ่ายพวกหนี้สิน *จ่ายหนี้ก่อน ดอกจะได้ไม่บาน*ในบรรดารายจ่ายทั้งมวล สิ่งที่ต้องรีบจ่ายก็คือ “หนี้ที่เราก่อ” นั่นเอง ก็เป็นพวกหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต เงินที่ยืมเพื่อนมา หรือเงินที่ไปกู้ธนาคารมาลงทุน สิ่งนี้เราควรจัดการก่อน เพราะอะไร ก็เพราะว่า ค่าใช้จ่ายที่เป็นหนี้สิน จะมีการเก็บดอกเบี้ยพ่วงมาด้วยเสมอ “ถ้าหากจ่ายช้า ดอกเบี้ยก็จะเริ่มบาน” ดังนั้น เราควรวางแผนการจ่ายหนี้ให้เป็นไปตามแต่ละงวด ส่งเงินทุกเดือนไม่ให้ขาดเลยนะคะตามหลักการเงินแล้วเนี่ย เราไม่ควรก่อหนี้เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เพราะถ้ามากกว่านั้น เราจะลำบากในการใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ไงล่ะสมมติว่า เรามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 40,000 บาท เราสามารถที่จะก่อหนี้ได้ไม่เกิน 16,000 บาทนั่นเอง ซึ่งเรายังพอมีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายประจำวันและเก็บออมอีก 24,000 บาท ถ้าหากเราก่อหนี้มากเกินไป อาจทำให้เราอึดอัดในการใช้ชีวิต ไม่มีความสุข อยากจะไปเที่ยว หรือซื้อของที่อยากได้ก็ต้องมาพะวงกับกองหนี้ที่ต้องจ่าย และอาจไปกระทบกับเงินส่วนอื่น ๆ ได้ด้วยนะคะ2.ค่าใช้จ่ายประจำเดือนค่าใช้จ่ายประจำเดือน เราก็ขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายผันแปรค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายเท่ากันทุกเดือน เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่สามารถปรับลดได้เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าคอนโด ค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่าอินเทอร์เน็ตรายเดือนค่าใช้จ่ายผันแปร คือค่าใช้จ่ายที่เราสามารถควบคุมได้ ใช้มากก็จ่ายมาก ใช้น้อยก็จ่ายน้อยเช่น ค่าอาหารการกิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าช้อปปิ้งของส่วนตัว ไปเที่ยวสังสรรค์ค่าใช้จ่ายผันแปร เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ค่ะ ถ้าเราลดค่าใช้จ่ายผันแปรลง เช่น สังสรรค์ให้น้อยลง กินบุฟเฟ่แค่เดือนละครั้ง จากปกติที่กินทุกอาทิตย์ เราก็จะมีเงินเหลือนำไปออมและลงทุนแทนได้3.ค่าใช้จ่ายเพื่อความคุ้มครองหลายคนมองข้ามในเรื่องนี้ มองว่าเป็นการจ่ายทิ้ง แต่ถ้าวันหนึ่งมันดันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาจริง ๆ ค่าใช้จ่ายมันมหาศาลมาก เงินออมที่มีอาจไม่พอ และอาจหมดตัวได้เลย ที่เราจะพูดถึงก็คือ “การทำประกัน”นั่นเองประกันก็มีหลายประเภท หลายรูปแบบ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันบ้าน ฯลฯในความคิดเห็นส่วนตัว เราอยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการทำประกันสุขภาพค่ะ เพราะค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันค่อนข้างแพง ป่วยเข้าโรงพยาบาลทีนี่ ทั้งเจ็บตัวและยังเจ็บกระเป๋าตังด้วย ยิ่งถ้าเป็นโรคร้ายแรงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย หลายคนหมดค่ารักษาพยาบาลเป็นล้าน ๆ ต้องขายบ้าน ขายรถเพื่อมารักษาตัวก็มีให้เห็นแล้วการทำประกันสุขภาพ นอกจากจะคุ้มครองเราในเรื่องของค่าพยาบาลในการรักษาตัวแล้ว ยังมีข้อดีอีกอย่างก็คือ เราสามารถใช้ประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีของเราได้ด้วยนะคะ ซึ่งสามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทคำเตือน!! มีหลากหลายบริษัทที่รับทำประกัน แต่ควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ควรเลือกเบี้ยประกันที่เหมาะสม อย่าจ่ายแพงเกินความจำเป็นนะคะ ก้อนที่ 3 : เงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต เงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต ก็คือ เงินก้อนใหญ่ที่เราตั้งใจจะเอาไปใช้ในอนาคต เช่น ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ เรียนต่อป.โท หรือเงินไว้สำหรับแต่งงาน เราสามารถแบ่งเก็บได้หลากหลาย เช่น เก็บในบัญชีฝากประจำที่ได้ดอกสูง ๆ ซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงต่ำ ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือจะนำไปซื้อสลากออมสิน หรือ สลาก ธกส.ที่มีลุ้นเงินรางวัลก็ได้ค่ะการแบ่งเก็บเงินส่วนนี้ จะต้องดูเป้าหมายของเราว่า เราต้องการจะเก็บเงินเท่าไหร่ และจะใช้ระยะเวลากี่ปีเช่น อยากดาวน์รถสักคน ต้องใช้เงินดาวน์ 200,000 บาท มีแพลนว่าจะซื้อในอีก 2 ปีข้างหน้า ดังนั้นเราจะต้องเก็บเงินเดือนละ 200,000/24 ~ 8400บาท จากนั้นเราอาจจะไปเปิดบัญชีฝากประจำ 2 ปี สำหรับการเก็บเงินดาวน์นี้ก็ได้ค่ะ คำเตือน!! เงินที่ตั้งใจเก็บลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคต ควรจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์การเงินที่ความเสี่ยงต่ำนะคะ เพราะเราจะต้องการรักษาเงินต้นด้วย ถ้าหากไปลงทุนทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง เราก็มีโอกาสขาดทุนสูงและทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จนี่ก็เป็นวิธีจัดสรรเงินเดือนง่าย ๆ ทุกคนลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ และอย่าลืมว่า สิ่งสำคัญสุดในหลาย ๆ อย่าง คือ * การมีเงินสำรองฉุกเฉิน* น้าา ภาพหน้าปกโดย Canva.comภาพประกอบที่ 1 โดยนักเขียนขอบคุณภาพประกอบที่ 2 จาก Pixibayขอบคุณภาพประกอบที่ 3 จาก Pixibayขอบคุณภาพประกอบที่ 4 จาก Pixibayขอบคุณภาพประกอบที่ 5 จาก Pixibayขอบคุณภาพประกอบที่ 6 จาก Pixibayขอบคุณภาพประกอบที่ 7 จาก Pixibay