แทรมโพลีน (Trampoline) อาจเป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากภาพวาดเก่าแก่หลายพันปีของสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับแทรมโพลีนได้ถูกค้นพบในประเทศจีน อียิปต์ และอิหร่าน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีตั้งสมมติฐานว่ามันอาจใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา งานเฉลิมฉลอง หรือ การละเล่นของคนในสมัยโบราณ อย่างไรก็ดี แทรมโพลีนอย่างที่เห็นในปัจจุบันถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1936 โดย Larry Griswold โค้ชยิมนาสติกและ George Nissen นักกีฬายิมนาสติกแห่งมหาวิทยาลัยไอโอวา เนื่องจากทั้งสองได้สังเกตเห็นตาข่ายนิรภัยของนักกายกรรมห้อยโหน ที่นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้พลัดตกลงพื้นแล้ว ยังช่วยให้นักกายกรรมเหล่านั้นสามารถสร้างสีสันในการแสดงด้วยการกระดอนกลับขึ้นไปด้านบนหลังจากที่ทั้งสองเห็นว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องมือการฝึกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทีม จึงได้เริ่มพัฒนาอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยเหล็กฉาก, เตียงผ้าใบ และสปริงยาง จนสำเร็จ และพัฒนาต่อเพื่อให้มันมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น แม้ว่าอุปกรณ์นี้จะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยในการฝึกยิมนาสติก Nissen และ Griswold ก็ค้นพบว่าแทรมโพลีนนั้นเป็นสิ่งที่ชื่นชอบของใครหลายคนที่ได้ทดลองเล่น รวมทั้งเด็ก ๆ จนในที่สุดพวกเขาได้ตั้งบริษัท Griswold-Nissen Trampoline and Tumbling Company ขึ้นเพื่อนำสิ่งประดิษฐ์ชนิดนี้ออกสู่ตลาดแทรมโพลีนไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ในการฝึกยิมนาสติกหรือเครื่องออกกำลังกายอีกต่อไป หลังจากที่ กองทัพเรือสหรัฐ นำมาใช้ในการฝึกนักบินในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพพบว่า แทรมโพลีนเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยให้นักบินขับไล่คุ้นเคยกับการพลิกเครื่องกลับอย่ารวดเร็วระหว่างการรบ แทรมโพลีนยังช่วยขจัดภาวะความกลัวตกจากที่สูงในกรณีเครื่องเสียการทรงตัว ช่วยให้นักบินสามารถรับรู้ทิศทางหลังจากที่ร่างกายหยุดหมุน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย รวมทั้งช่วยเพิ่มการควบคุมความสมดุลของร่างกายในอากาศองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (National Aeronautics and Space Administration) หรือ องค์การนาซา (NASA) ยังใช้แทรมโพลีนเพื่อเตรียมตัวนักบินในการท่องอวกาศ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการกระโดดแทรมโพลีนช่วยให้สามารถใช้ออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึงร้อยละ 68 อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้มากกว่าการวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า (Treadmill) ยิ่งไปกว่านั้นการใช้แทรมโพลีนยังช่วยจำลองความรู้สึกไร้น้ำหนักและเตรียมนักบินอวกาศสำหรับสภาวะการสูญเสียแรงโน้มถ่วงกล่าวมาเสียยืดยาว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เห็นประโยชน์ของเจ้าเครื่องเล่นที่ว่านี้ ไม่ว่าจะสำหรับการออกกำลังกายหรือเพื่อฝึกฝนพัฒนาทักษะบางอย่างของผู้ใหญ่ แต่แทรมโพลีนนั้นก็มีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับเด็ก เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้าง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้กับเด็กแล้ว แทรมโพลีนยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยมสำหรับหัวใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่มีการหดและคลายตัวในระหว่างการเล่นจะมีความแข็งแรงและกระชับมากขึ้น ในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจชนิดต่าง ๆ ได้ การเล่นแทรมโพลีนไม่เพียงจะช่วยให้เด็กสนุกสนานและรู้สึกผ่อนคลาย ยังช่วยเพิ่ม ความยืดหยุ่นของร่างกาย และ พัฒนาทักษะทางด้านเคลื่อนไหว (Motor Skills) ให้กับเด็ก หลายคนที่เคยกระโดดบนแทรมโพลีนจะเข้าใจดีว่า มันต้องมีการประสานงานกันอย่างดีระหว่างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละครั้งของการกระโดด ทำให้เด็กจะต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการปรับท่าทางให้สอดคล้องกันเพื่อให้สามารถทรงตัวอยู่ได้ และเมื่อร่างกายทั้งซีกซ้ายและขวาได้ทำงานในขณะเล่น สมองทั้งซีกซ้ายและขวาก็มีโอกาสพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งคู่อย่างไรก็ดี แม้แทรมโพลีนจะมีประโยชน์ แต่ในหลายประเทศก็มีรายงานการบาดเจ็บจากการเล่นแทรมโพลีนที่ผิดวิธี ดังนั้นการเล่นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โดยให้เล่นเพียงครั้งละหนึ่งคนเพื่อป้องกันการปะทะกัน ห้ามเล่นท่าที่เสี่ยงและอันตราย เช่น การกระโดดหมุนตัว และที่สำคัญคือ ไม่แนะนำให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี เล่นแทรมโพลีน เนื่องจากร่างกายของเด็กวัยนี้ยังไม่พร้อมต่อการรับแรงกระแทกซ้ำ ๆ ซึ่งอาจทำให้อวัยวะต่าง ๆ เช่น สมองและกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บได้สิ่งต่าง ๆ ล้วนมีทั้งคุณและโทษครับ เพียงใช้มันอย่างมีสติก็อาจก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลอ้างอิงจาก“Trampoline” จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Trampoline#Early_trampoline-like_devices“Jumping for your health – and to regulate” จาก https://professionals.childhood.org.au/prosody/2018/02/jumping-for-your-health-and-to-regulate/“How Does a Trampoline Help a Child Development (13 Benefits)” จาก https://www.gettrampoline.com/health/child-development-benefits/ขอบคุณภาพจากภาพปก Pixabayภาพที่ 1 wikimedia (Public Domain)ภาพที่ 2 Pixabayภาพที่ 3 Pixabay ภาพที่ 4 Pixabayภาพที่ 5 Pixabay