เคยคิดไหมว่าคนสมัยก่อนก็มีความคิดอ่านและสติปัญญาที่เฉียบแหลม ขนาดที่ว่าไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ แบบสมัยนี้ยังสามารถคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ วิธีการรักษาโรค และสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ที่เราเรียกกันว่า “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” และยังถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย บางครั้งเราก็ไม่ได้คาดคิดว่า สิ่งรอบกายเหล่านี้ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน มันเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยที่เราไม่รู้ตัว บทความนี้ผู้เขียนจะไปรู้จักกับหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายเรื่องราวของวิทยาศาสตร์กับความเป็นไทยที่อยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “บางกะโพ้ง” เขียนโดย “วินทร์ เลียววาริณ” เป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปในเนื้อเรื่องด้วย โดยถือจากกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันที่มาพร้อมกับข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน ดำเนินเนื้อเรื่องผ่านตัวละครกลุ่มหนึ่งที่หลงใหลในวิทยาศาสตร์ และพยายามให้วิทยาศาสตร์ซึมซับสู่คนในหมู่บ้านและอยู่ด้วยกันได้ เรื่องราวเกิดขึ้นในหมู่บ้านบางกะโพ้ง หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญและทุรกันดาร ไม่มีไฟฟ้าใช้และมักจะได้รับการดูแลไม่ทั่วถึงจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ชายหนุ่มนามว่า “โทน” กับกลุ่มเพื่อนอีก 2 – 3 คน ที่ไม่ชอบเป็นชาวนา ชาวไร่แบบคนอื่น แต่ตั้งตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำหมู่บ้าน ภายใต้ชื่อ “สมัชชาวิทยาศาสตร์บางกะโพ้ง” ที่นำหลักการ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องหลักเหตุผลและความเป็นจริงเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหาให้กับคนในหมู่บ้านได้มากมาย ทั้งปลูกพืชไร้เมล็ด ประดิษฐ์เครื่องกำจัดแมลง กลั่นน้ำมันพืชที่สามารถใช้กับรถได้ สร้างบั้งไฟโดยการใช้หลักฟิสิกส์ในการคำนวณแรงส่ง สร้างหอดูดาวและพิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้าน ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็เพื่อที่อยากจะช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คนหนุ่มสาวที่ไปทำงานในเมืองกรุงจะได้กลับมาอยู่บ้านกันเสียทีหนังสือเล่มนี้นอกจากจะถ่ายทอดเรื่องราวของหลักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ แทรกเกร็ดเล็กน้อยจำพวกการทดลองขนาดย่อมที่เคยเรียนกันในชั้นมัธยม ยังมีการผสมผสานวัฒนธรรมไทย ประเพณี การละเล่นของไทยเข้าไปด้วย ดังเช่น การแห่บุญบั้งไฟ หรือ การแห่นางแมว ถึงแม้จะดูขัดกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่พยายามให้ชาวบ้านซึมซับ ผู้ที่ยึดในเรื่องของหลักเหตุผลมาก ๆ อาจมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องงมงาย แต่หากมองให้ลึกซึ้งประเพณี ความเชื่อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องงมงายทั้งหมด แต่มันเป็นการช่วยคลายความเครียด ความกังวลของผู้คนมากกว่า เช่น ฝนไม่ตก น้ำแห้งแล้ง ต้นไม้ใบหญ้า ข้าวในนาแห้งตาย ชาวนาก็เครียดกับเหตุการณ์ จึงมีการทำพิธีแห่นางแมวที่เชื่อกันว่าเป็นการขอให้พระยาแถนปล่อยน้ำลงมาให้โลกมนุษย์ เป็นต้น บางกะโพ้งยังถ่ายทอดให้เราได้เห็นมุมมองของวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่ในปัจจุบันเราอาจพบเห็นกันได้ยากแล้ว เห็นถึงความสามัคคี ความช่วยเหลือ เกื้อกูลกันของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงแขกเกี่ยวข้าว การทำอาหารเลี้ยงพระ จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ งานสงกรานต์ แม้กระทั่งงานบวช งานแต่ง ก็ช่วยกันด้วยไมตรี ไม่แบ่งแยกว่าญาติใครแต่ทุกคนในหมู่บ้านเต็มใจที่จะช่วยกัน อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ผู้เขียนยังแอบคิดเลยว่าอยากไปเห็นหมู่บ้านแบบบางกะโพ้งสักครั้ง ยิ่งถ้าได้ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยแล้วคงเป็นกำไรชีวิตเลยทีเดียว หวังว่าจะยังพอมีหมู่บ้านบางกะโพ้งตั้งอยู่ที่ไหนสักที่ รอเวลาให้เราได้ไปสัมผัส ระหว่างรอก็อ่านนวนิยาย “บางกะโพ้ง” ไปพลางก่อนนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือใครสะดวกสั่งผ่านทางช่องทางออนไลน์ของร้านหนังสือได้ค่ะ: ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนเขียน-ภาพ Knight-errant