ภาพปกโดย : http://ltsdublin.com/ ย้อนไปเมื่อสมัยก่อนการสักตามเรือนร่างของคนเรานั้นล้วนมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรมและประเพณีของคนสมัยนั้น โดยส่วนใหญ่จะมีการสักอักขระขอม โดยเป็นลวดลายทางไสยศาสตร์ โดยสอดแทรกความเชื่อและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มีวัตถุประสงค์คือการอยู่ยงคงกระพัน ทำให้หนังเหนียว ฟัน แทงไม่เข้า เปรียบเป็นเครื่องรางของขลังอีกอย่างหนึ่งที่ชายชาตินักรบต้องมีไว้ติดตัวเมื่อออกไปกู้ชาติบ้านเมือง ภาพโดย : https://www.pinterest.com/ นอกจากนี้การสักในสมัยก่อนยังสักเพื่อประจานความผิด เพื่อไม่ให้ผู้ที่มีรอยสักได้คบค้าสมาคมกับผู้อื่นอีกด้วยอีกด้วย เห็นไหมละค่ะว่ารอยสักมีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น เมื่อสังคมสมัยใหม่ก้าวเข้ามามีการสักเพื่อความสวยงามเกิดขึ้น จึงทำให้วัฒนธรรมเละความเชื่อที่ว่า สักเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังลดน้อยลง ทำให้เกิดแฟชั่นรอยสักเล็ก ๆ ขึ้นหรือที่รู้จักกันคุ้นหูที่ว่า สไตล์มินิมอล นอกจากนี้ความแตกต่างของรอยสักสมัยก่อนและปัจจุบันคงเป็นการเพิ่มลูกเล่นในการสักด้วยสีสันที่สดใส ทำให้รอยสักที่นิยมในปัจจุบันไม่ได้มีความน่ากลัวหรือน่าเกรงขามเหมือนในสมัยก่อน ภาพโดย : https://likesmag.com/ ภาพโดย : http://ltsdublin.com/ ภาพโดย : https://likesmag.com/ ปัจจุบันมีแฟชั่นหลากหลายอย่างที่เราสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น การแต่งตัว การแต่งหน้า การทำผม แม้กระทั่งรอยสัก การสักเป็นแฟชั่นและศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่น่าหลงใหล เพราะมีการนำลวดลายของภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาไว้บนร่างกาย ทำให้เกิดความสวยงามตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เชื่อกันว่าทุกรอยสักล้วนมีความหมายในตัวของมันเอง โดยผู้ที่ทำการสักส่วนใหญ่ได้ให้ความสนใจกับความหายของรอยสักที่จะปรากฎบนเรือนร่างของตนเองอยู่แล้ว ส่วนจะสักตรงไหนนั้นก็ล้วนแต่ดุลยพินิจของผู้สักเองที่จะให้ความสวยงามนี้เกิดขึ้นบริเวณใดของร่างกาย ส่วนใหญ่แล้วนิยมสักกันที่ ข้อมือ ข้อเท้า หัวไหล่ หลังใบหู ต้นคอ หลัง หน้าอก ซึ่งจุดสักเหล่านี้เป็นความนิยมในหมู่วัยรุ่นสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยรอยสักยังคงได้รับความนิยมในทุกยุค