ผมและเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสได้ไปพิสูจน์ตัวเองและได้กลายเป็นผู้พิชิตภูกระดึง แต่การได้ขึ้นไปถึงยอดของภูกระดึงมันยังไม่ใช่ที่สุดของเส้นชัย มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เราขึ้นไปถึงยอดภูกระดึง ประมาณ 16.00 น. และเราต้องเดินทางไปยังที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวอีกเกือบสี่กิโลเมตร แต่โชคดีหน่อยที่เส้นทางไปยังที่พักเป็นทางเรียบ เดินสบายไม่ต้องปีนป่ายเหมือนตอนขึ้นมาบนยอด ระหว่างเส้นทางที่เดินไปก็เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ และอากาศที่บริสุทธิ์ที่เย็นสบาย เดินไปได้ประมาณสองกิโลเมตรก็จะเจอกับต้นสนที่อยู่กลางถนน แบบกลางพอดีเลย เพื่อนบอกผมว่าใครมาที่ภูกระดึงก็ต้องถ่ายภาพกับต้นสนต้นนี้ ถือว่าเป็นซิกเนอเจอร์อีกจุดหนึ่งของภูกระดึงเลยก็ว่าได้ จากนั้นเราก็เดินทางมาเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดที่พัก เราจะต้องเข้าไปติดต่อเรื่องที่พัก อุปกรณ์การนอนกับเจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์ให้บริการนักท่องเที่ยวให้เรียบร้อยและรีบกางเต็นท์ก่อนที่จะค่ำ สรุปแล้ว 1 วันของการไปภูกระดึงเราใช้เวลาไปกับการเดินทาง การหาที่พักเท่านั้นเอง หลังจากที่เตรียมที่หลับที่นอนเรียบร้อยแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำทำภารกิจส่วนตัว บอกเลยว่าน้ำบนยอดภูกระดึง เย็นมากราวกับว่ามีใครแอบเอาน้ำแข็งหลาย ๆ กระสอบมาผสมไว้ในอ่างอาบน้ำ (นี่ขนาดว่าช่วงที่ไปยังไม่หนาวมากนะครับ) หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบรอยแล้วเราก็รวมตัวกันไปหาสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเราทุกๆคน คือการกินหมูกระทะ บนภูกระดึง เป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทั้งบรรยากาศ รถชาติ และมิตรภาพจากเพื่อนร่วมเดินทาง ทุกอย่างดีไปหมด พอกินเสร็จก็เริ่มง่วง ต้องบอกก่อนนะครับว่าจุดที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นจุดพัก เขามีกฎห้ามให้มีการก่อกองไฟ ห้ามดื่มแอลกอฮอร์ และห้ามส่งเสียงดัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างเคร่งคัด และขณะที่ทุกคนกำลังจะเข้านอน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่เนื้อหาประมาณว่าให้ทุกคนงดใช้เสียง ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว และพรุ่งนี้เช้าพวกเราต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน เจ้าหน้าที่ ที่จะพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจะรออยู่บริเวณหน้าศูนย์ให้บริการนักท่องเที่ยว หลังจากนั้นพวกเราต่างก็เข้านอนก่อนนอนเพื่อนบอกให้กินยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อนบอกว่ามันจะช่วยให้เราไม่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อพรุ่งนี้จะได้เดินต่อสบายๆ แนะนำเลยว่ามันได้ผลดีมากจริงๆ พอเข้านอน ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ความเหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวันทำให้ผมหลับสนิทมากเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปแค่ชั่วโมง แล้วผมก็ได้ยินเสียงประกาศ อะไรซักอย่าง ตอนนั้นพึ่งจะตื่นจับใจความไม่ได้ แต่พอรู้ว่ามันน่าจะเป็นประกาศให้เราไปรวมตัวกันเพื่อเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างแน่นอน และกว่าจะบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นมา ก็ใช้เวลาพอสมควร พอตั้งตัวได้ผมและเพื่อน ๆ ก็ไปจุดที่เจ้าหน้าที่ได้นัดหมาย แต่พอไปถึงกลับเจอคนแค่ 3-4 คนเท่านั้นเอง นึกในใจว่าอากาศคงน่านอนเกินไปเลยไม่มีใครอยากลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่แล้วก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาบอกว่า “คนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้ว เพราะถ้าออกเดินทางช้ากว่านี้ไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นแน่นอน” พวกเราจึงรีบออกเดินทางไปกับเจ้าหน้าที่คนนั้น ซึ่งจุดที่เราจะไปดูพรอาทิตย์ขึ้นเรียกว่า “ผานกแอ่น” ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางที่เดินไป ค่อนข้างมืด มีจุดที่มีแสงไฟน้อย เราต้องอาศัยไฟฉายที่เราพกติดตัวไปส่องนำทาง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที พวกเราเดินทางไปถึงผานกแอ่น และรู้สึกดีใจที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เป็นไปตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกไว้ว่าถ้าออกเดินทางช้ากว่านี้ไม่ทันแน่ เพราะเราไปถึงได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มโผล่จากขอบฟ้า เป็นแสงแรกของวันที่สวยงามมาก พระอาทิตย์ส่องแสงสีส้มโอรสผาดเป็นแนวยาวของขอบฟ้า อยู่เหนือหมอกหนาบนความสูง 1,288 เมตรของยอดภูกระดึง เป็นแสงอ่อนที่เรายังสามารถมองและรับรู้ความงามได้ด้วยตาเปล่า พระอาทิตย์ก็เป็นดวงเดิมดวงที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่บรรยากาศโดยรอบ ความรู้สึกเราในขณะนั้น ทำให้มันดูสวยมาก ๆ สวยกว่าทุก ๆ วันที่เราเคยมองมันเป็นความทรงจำแรกของการเริ่มเดินทางไปกับธรรมชาติบนยอดภูกระดึง... ภาพทุกภาพ ถ่ายเอง