จากการลองทำเส้นพาสต้าสดครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ วันก่อนพยายามลองทำอีกแต่ก็พลาดอีก เพราะวัตถุดิบไม่ครบตามสูตร จะเอาอะไรอย่างอื่นทดแทนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญมากพอ ผลก็เลยออกมาน่าหัวร่อ เส้นกว้างไปหลายนิ้ว เลยโพสต์ลงเฟสบุ้คขำ ๆ แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่อเมริกามาตอบว่านี่มันคล้าย biang biang noodles เลย หือ...อะไรนะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินชื่อ biang biang noodles เลยไปเสิร์ชหาข้อมูล ปรากฏว่าบะหมี่เบียงเบียงนี่เป็นบะหมี่ที่มีชื่อเสียงของมณฑลซานซี ซึ่งถือเป็น 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของซานซี เป็นเส้นบะหมี่ที่นวดและยืดให้เป็นเส้นด้วยมือ ลักษณะของเส้นบะหมี่เบียงเบียงนั้นกว้าง หนาและยาว จนดูคล้ายกับเข็มขัด ดั้งเดิมนั้นบะหมี่เบียงเบียงถือเป็นอาหารของคนจนในชนบท แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นอาหารที่มีชื่อเสียง และแม้ว่าบะหมี่เบียงเบียงจะสามารถสร้างสรรค์รสชาติได้หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะโรยหน้าด้วยพริกหม่าล่าที่เผ็ดร้อนเพื่อรับประทานกันในช่วงฤดูหนาวในมณฑลซานซี เปิดหาข้อมูลจากหลายเพจก็พอรู้เลาๆ ว่าบะหมี่เบียงเบียงทำอย่างไร มีวัตถุดิบอะไรบ้าง และมีหลากหลายเมนูมาก แต่ด้วยวัตถุดิบที่มีในครัวก็เลยตัดสินใจจะลองทำเมนู “แสร้งว่าเบียงเบียง” โดยใช้สูตรของเว็บหนึ่งดูก็แล้วกัน เพราะบะหมี่เบียงเบียงต้นตำรับก็ไม่เคยชิม แต่วัตถุดิบสำคัญคือหม่าล่ายังมีติดครัวก็น่าจะดัดแปลงทำได้อยู่ วัตถุดิบที่เราใช้มีสองส่วน ส่วนแรกคือวัตถุดิบที่ทำเส้นบะหมี่มีดังนี้ค่ะ แป้งสาลีอเนกประสงค์ ประมาณ 2 ถ้วยตวง เกลือป่น 1 หยิบมือ หรืออาจจะใช้ราว ๆ ½-1 ช้อนชา น้ำอุ่น ใช้สำหรับนวดแป้ง ส่วนที่สอง ใช้ประกอบในเมนู ผักกาดจ้อน หรือใช้ผักอื่น ๆ ที่ชอบก็ได้ ต้นหอมซอย หม่าล่า น้ำมัน ใช้ราดบนหม่าล่า ซอสราด ทำจากซีอิ๊วขาวปรุงผสมกับจิ๊กโฉ่ว เริ่มต้นจากการเตรียมแป้งทำบะหมี่ ซึ่งเราก็หาสูตรและวิธีทำจากอินเตอร์เน็ทนี่แหละค่ะ ใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์ ปริมาณแล้วแต่จะทานค่ะเพราะควรทำให้พอทานแต่ในละครั้ง เคยทิ้งแป้งไว้ข้ามคืน เนื้อแป้งจะเริ่มเหนอะๆ นวดยาก รีดยากขึ้นค่ะ วัตถุดิบอื่นก็มีเกลือป่น ใช้ประมาณหนึ่งหยิบมือหรือดูตามสัดส่วนของแป้ง หลังจากคลุกเคล้าแป้งและเกลือจนเข้ากันดีแล้ว ก็ค่อย ๆ รินน้ำอุ่นลงไปพร้อมกับนวดไปจนเป็นก้อนแป้งเนียน พักแป้ง คลุมด้วยแร็ปพลาสติกไว้ 20 นาที จากนั้นนวดแป้งอีกรอบแล้วพักแป้งไว้อีก 15 นาที แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก อาจจะเป็น 8 ชิ้น หรือ 12 ชิ้นก็ได้ ตามต้นตำรับที่เขาแบ่งเป็นชิ้นเล็กเพื่อที่จะได้ยืดแป้งและฟาดจนเป็นเส้นได้ขนาดพอดีน่ะค่ะ แต่เราไม่สามารถทำได้ก็ใช้วิธีรีดแป้งด้วยไม้นวดแป้งเอาดีกว่า ก็กะปริมาณแบ่งเป็นก้อนตามที่คะเนเอาเองก็ได้ค่ะ แป้งที่แบ่งเป็นก้อนเล็กนี้ให้ทาน้ำมันพืชให้ทั่ว แล้วพักแป้งต่ออีกอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง บางคนเอาไปพักในตู้เย็น แต่เราพักไว้ข้างนอกนั่นแหละค่ะ พอจะทานก็ค่อยนำมารีดเส้นกันสด ๆ ก่อนรีดก็นวดให้แป้งเข้ากันดีกับน้ำมันที่ทาไว้ ไม่ต้องโรยแป้งนวลกันแป้งติดเลย เพราะแป้งเนียนมากค่ะ การรีดจะรีดให้เป็นเส้นกว้างเท่าไหร่ก็แล้วแต่ใจชอบเลย แต่ควรรีดให้บางประมาณยกขึ้นมาแล้วไม่ขาดก็ใช้ได้ เพราะเวลาต้ม แป้งมันจะพองตัวขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งอยู่ละค่ะ จริง ๆ แล้ว ต้นตำรับเขาจะนวดก้อนแป้งพอให้แผ่ออกเป็นทรงยาวประมาณเกินครึ่งของความยาวไม้ตะเกียบ แล้วจะใช้ตะเกียบกดแบ่งตรงกลางตามแนวยาวให้พอเป็นรอย จากนั้นจึงค่อย ๆ ใช้มือยืดก้อนแป้งให้ยาวเป็นแผ่น แล้วฉีกแผ่นแป้งตามร่องแนวยาวออก แล้วฟาดแผ่นแป้งนั้นลงกับโต๊ะให้กลายเป็นเส้นแบนยาว เขาว่าเหตุที่ได้ชื่อว่าเบียงเบียงก็เพราะเสียงที่ฟาดแผ่นแป้งลงกับโต๊ะนั่นเอง เวลาจะทานก็ตั้งน้ำสำหรับต้มเส้น เติมเกลือลงไปนิดหน่อย อย่าใส่มากนัก เดี๋ยวเค็ม แต่ถ้ามันเค็มไปก็เอาไปล้างน้ำเพื่อล้างความเค็มออกได้อยู่ พอน้ำเดือดแล้วก็ทยอยเอาเส้นที่รีดเสร็จแล้วลงไปต้มในหม้อ ต้มไปสักนาทีกว่า ๆ ก็เอาผักที่หั่นเตรียมไว้ลงไปต้มด้วย การต้มเส้นและผักจะใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 2-3 นาทีก็สุกแล้วค่ะ แต่ถ้าใครรีดเส้นหนาหน่อยก็อาจจะเพิ่มเวลาต้มอีกนิดหนึ่ง ตักเส้นและผักลงใส่ในชาม โรยต้นหอมซอย ตักพริกหม่าล่าลงไป พอดีวันที่ลองทำบะหมี่เบียงเบียง เราต้มน้ำซุปเนื้อไว้ด้วย บางจานก็จะใส่เนื้อที่ต้มลงไปด้วย ระหว่างที่จัดจานอยู่นั้น ก็เอาน้ำมันพืชตั้งบนกระทะไว้ให้ร้อน แล้วเอามาราดลงบนหม่าล่า ทั้งเสียงน้ำมันร้อน ๆ ที่เทลงไปกระทบกับหม่าล่า มันส่งกลิ่นหอมมากจริง ๆ จากนั้นราดซอสลงไปแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน โอ้โห มันอร่อยมากจริง ๆ ค่ะ ไม่น่าเชื่อเลย บะหมี่เบียงเบียงสามารถทำได้หลายเมนูค่ะ เราลองใช้น้ำซุปเนื้อที่ต้มแบบซุปใสของฝรั่งเติมลงไป ก็อร่อยไปอีกแบบค่ะ เพราะน้ำซุปใสที่ต้ม เราใส่เครื่องยาจีนไปด้วย ก็เลยเหมือนทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นยาจีนแต่เป็นเส้นเบียงเบียง ซึ่งน้ำซุปเนื้อนี่รสชาติเข้มข้นอยู่แล้ว ไม่ต้องเติมอะไรก็อร่อย หรือจะเติมหม่าล่าลงไปก็ได้อีกรสหนึ่ง อร่อยมากเลยค่ะ เลยมาแนะนำเมนู “แสร้งว่าเบียงเบียง” ให้มาลองทำกันที่บ้านดูค่ะ