ในทุกวิกฤต...จะมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ คำกล่าวที่คุ้นหูประโยคนี้ หลายคนคงไม่ได้สนใจว่าใครเป็นผู้กล่าว แต่อาจจะเคยหยิบยกขึ้นมาใช้ในการให้กำลังใจแก่ตนเองหรือคนรอบข้างเพื่อให้ก้าวต่อไปข้างหน้าในยามที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ในปี ค.ศ. 2019 หรือ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ชาวไทยและชาวโลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า มีวิกฤตการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้น นั่นคือ โควิด-19 (COVID-19 : Corona Virus Disease 2019) โดยวิกฤตการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่ในวงการการศึกษา นั่นเพราะสถานศึกษาต่างๆ ทั่วโลกต่างหยุดการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่แน่นอนว่า ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป !! ทุกสถานศึกษาไม่ว่าในระบบหรือนอกระบบต่างก็เร่งหาแนวทางในการฝ่าวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ หนึ่งในแนวทางที่สำคัญ คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุผลที่พอจะอธิบายได้ คือ การที่ต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาในการเผยแพร่ความรู้ต่างๆ โดยเราสามารถเห็นร่องรอยของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการศึกษาได้อย่างชัดเจน เช่น การเปิดบริการ Online Library การเปิดคอร์สออนไลน์ การจัดอบรม การประชุมเชิงวิชาการ แม้กระทั่งการสอบวิทยานิพนธ์ผ่าน Application ต่างๆ เช่น Google Meet, Facebook Live, Zoom, Microsoft Team และTrue Virtual World (VWORK & VLEARN) เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงในช่วงวิกฤตการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือ จากเดิมที่การเรียนรู้และใช้งานเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเป็นไปอย่างยากลำบาก เปลี่ยนเป็นมีการตื่นตัวในการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต่างๆ เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนรู้การเลือกเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอน อุปกรณ์สถานที่ เวลา และผู้สอน ที่เหมาะสมกับตนเองได้หลากหลายตามที่ต้องการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นโอกาสสำคัญที่ซ่อนอยู่ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาทางการศึกษาแบบก้าวกระโดดทั้งระบบ เพราะเมื่อเทคโนโลยี 5G (5th Generation) ที่เชื่อกันว่าทรงพลังที่สุดมาถึงอย่างเต็มรูปแบบ นักพัฒนาและนักการศึกษาจะสามารถพัฒนาเครื่องมือทางการศึกษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การจัดการเรียนการสอนแบบ Live Interaction ที่ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับครูได้แบบ Real Time, การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ Virtual Reality (VR) ผสมกับ Augmented Reality (AR) ที่สามารถจำลองบรรยากาศและสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้ผู้เรียนเข้าไปเรียนรู้แบบเสมือนจริงราวกับว่าได้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จำลองขึ้นมานั้นจริงๆ เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการศึกษาในครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงแนวทางทางการศึกษาของนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และ อาจารย์ ให้เป็นวิถีชีวิตใหม่ (new normal) อย่างไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้อีก สำหรับการศึกษาในประเทศไทยเองก็มีการปรับตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารยอดนิยมต่างๆ มาเป็นช่องทางในการจัดการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่น การเปิดสอนกวดวิชาออนไลน์ผ่าน Facebook Live หรือ Zoom เป็นต้น ในขณะที่ภาครัฐเองก็เตรียมมาตรการการจัดการเรียนการสอนในช่วงเปิดเทอม เช่น การเรียนผ่านทีวีดิจิทัล, การเรียนในระบบทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) และการเรียนแบบออนไลน์ เป็นต้น และเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการศึกษาไทยที่จะลุกขึ้นมาพัฒนาเนื้อหาที่หลากหลาย เหมาะสมกับการเรียนรู้ของนักเรียนไทย โดยอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนที่จะเชื่อมต่อความรู้ในสาขาต่างๆ ศาสตร์ต่างๆ มาผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย สำหรับการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการ และความรู้ความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การก้าวกระโดดแม้จะทำให้เราสามารถไปได้ไกลมากกว่าปกติ แต่ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เราได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสด้วยเช่นกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่นักการศึกษาไทยต้องคำนึงในการก้าวกระโดดทางการศึกษาในครั้งนี้ คือ การพัฒนาที่ต้องมีเป้าหมายปลายทางของการจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจน ที่จะต้องมุ่งให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างความรู้ได้ด้วยตนเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอย่างแท้จริง เมื่อนั้นแล้ว วิกฤตการณ์ โควิด-19 ก็จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของรูปแบบการศึกษาของไทยและของโลกไปตลอดกาล เครดิตภาพภาพปก : Bradley Hook จาก Pexels / ภาพที่ 2 โดย : Jessica Lewis จาก Pexels ภาพที่ 1 และ 4 โดย : ผู้เขียน (สหายที่เก้า)