0kdเว็บไซต์เดลิเมล สำนักข่าวชื่อดังของอังกฤษ ได้รายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2020 ว่า เดวิด และ วิคตอเรีย เบ็คแฮม คู่สามีภรรยาเซเลบิตี้ชื่อดังของโลก ได้ประสบติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยสาเหตุนั้นได้ประเมินว่าน่าจะติดจากงานปาร์ตี้ที่ ลอส แอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งไทม์ไลน์ของเขานั้น เป็นช่วงที่กำลังไปฉลองวันเกิด บรู๊คลิน ลูกชายคนโต อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เขาได้เดินทางไปทั่วไมอามี ในรัฐฟลอริด้า และจากนั้น การระบาดในสหรัฐฯ ก็พุ่งพรวด จนมีมาตรการล็อคดาวน์ในแต่ละรัฐออกมา และในปัจจุบัน สหรัฐฯ ก็เป็นประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุด แม้จะมีมาตรการป้องกันแล้วก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าไวรัส COVID-19 ไม่เลือกเชื้อชาติ ฐานะและหน้าตา โดยเฉพาะในอังกฤษ มีการติดเชื้อถึง 4,470,297 คน เสียชีวิตไปแล้วถึง 127,748 คน (ข้อมูลวันที่ 27 กันยายน 2021) อีกทั้งยังเป็นข่าวใหญ่คึกโครม เมื่อได้มีการประกาศว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รัชทายาทอันดับ 1 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ ก็ได้ติดเชื้อไวรัสนี้และเร่งทำการรักษาจนหายขาด ซึ่งต่อมา คนดังชาวอังกฤษต่างพากันติดเชื้อเพิ่มขึ้น เช่น ไอดริส เอลบา, โรเบิร์ต แพททินสัน ที่กำลังท็อปฟอร์มจากภาพยนตร์ TENET และการเปิดตัวบทบาท Batman อย่างเป็นทางการ แม้กระทั่งคนในรัฐบาลอย่าง นาดีน ดอร์เรียส รัฐมนตรีสาธารณสุข รวมถึงนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ก็ยังติดเชื้อไวรัสนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจและไม่ได้อยู่ในสายตาของสื่อ คือผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในอังกฤษ รักษาหายดีเป็นจำนวนมาก จนช่วงหนึ่งที่หลายชุมชนในสหราชอาณาจักร พร้อมใจกันออกมายืนบริเวณหน้าบ้านเพื่อปรบมือแสดงความขอบคุณและให้กำลังใจเหล่าแพทย์ทั่วประเทศ ที่ทำงานเสี่ยงชีวิตดูแลผู้คน และเป็นด่านหน้าในศึกสงครามไวรัส ซึ่งรัฐบาลยังได้ออกสโลแกน "Stay home, protect the NHS, save lives" เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้คนอยู่ในบ้าน ล็อกดาวน์ป้องกันการติดเชื้อ แต่ในสโลแกน มีตัวหนังสืออยู่สามคำที่ทรงพลังที่สุดบนเกาะอังกฤษคือ NHS NHS ย่อมาจาก National Health Service หมายถึงระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ ที่ให้ประชาชนเข้าถึงระบบทางการแพทย์ได้ทุกคน โดยไม่แบ่งชนชั้น อันเป็นระบบที่เคลื่อนไหวโดยนักกิจกรรม นักเขียน ปัญญาชน บุคลากรทางการแพทย์ ที่ดำเนินการก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น และมาสำเร็จหลังสงครามสงบ ในยุคของนายกรัฐมนตรี คลีเมนต์ แอตลี นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1900 เบียทริซ เวบบ์ นักวิชาการคนสำคัญคนหนึ่งของอังกฤษ ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง มุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น โดยชูระบบรัฐสวัสดิการที่สำคัญคือ การศึกษาฟรี บำนาญผู้สูงอายุ สาธารณสุขถ้วนหน้า และได้ก่อตั้ง Fabian Society ที่เป็นกลุ่มสมาคมรวมเหล่าปัญญาชนและนักการเมืองฝ่ายซ้าย อีกทั้งยังได้เน้นการปฏิรูปแบบฟังเสียงส่วนรวม และไม่ใช่วิธีการรุนแรง ซึ่งแนวคิดของเบียทริซ ได้ถูกใจเหล่าชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นกลางจำนวนมาก ซึ่งต่อมา เบียทริซ ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันการศึกษาระดับโลกอย่าง London School of Economy หรือ LSE ที่ผลิตบุคลากรคุณภาพส่งออกไปทั่วโลก และหนึ่งในตองอูที่โดดเด่นคนหนึ่งคือนายแพทย์ เบนจามิน มัวร์ นักชีวเคมีและหมอแห่งโรงพยาบาลในเมืองลิเวอร์พูล เป็นผู้เขียนแผนปฏิรูปสาธารณสุขที่เรียกว่า "The Dawn of the Health Age" และได้เปลี่ยนชื่อเรียกว่า "National Health Service" โดยเป็นแผนงานรวบรวมหน่วยงานสาธารณสุขภาครัฐที่กระจัดกระจาย เข้ารวมตัวและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน อันส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของอังกฤษที่แต่ก่อน การรักษาขึ้นอยู่กับอาการและกลไกของทรัพยากร ตามบุญตามกรรม เปลี่ยนมาเป็นความเท่าเทียม โดยเน้นหลักสามประการคือ หนึ่ง บริการที่ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียม สอง บริการฟรี สาม บริการให้ตามสภาพอาการ ไม่เลือกปฏิบัติว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ทุกอย่าง ก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันที เพราะมีการถกเถียง การตรวจสอบกลไกต่าง ๆ รวมถึงคุณภาพการดำเนินที่จะเป็นไปได้ ก็ใช้เวลาลากยาวมาจนถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และพรรคแรงงานที่เป็นพรรคฝ่ายซ้าย คว้าชัยในการเลือกตั้งเมื่อปี 1945 ก็เร่งผลักดันระบบ NHS ขึ้นและประกาศใช้ได้สำเร็จในวันที่ 5 กรกฎาคม 1948 แอนูริน บีแวน รัฐมนตรีสาธารณสุขในยุคนั้น ได้แถลงเปิดบริการ NHS ว่าระบบสาธารณสุขแห่งชาตินี้ ไม่ใช่งานการกุศลแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากภาษีที่ประชาชนจ่ายให้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประชาชนก็มีสิทธิ์ในการเข้าถึงการแพทย์ได้ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ดูแล และลดระบบการแพทย์พาณิชย์ที่มุ่งเน้นกำไรมากกว่าการรักษา เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องล้มละลาย ความสำเร็จของ NHS กลายเป็นจุดชี้แพ้ชี้ชนะในการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักรไปทันที เพราะได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม แต่ก็เป็นการใช้จ่ายภาษีที่มีมูลค่าสูง ซึ่งหากพรรคใดที่มีแนวคิดในการลดทอน NHS ลง ก็แทบจะการันตีได้ทันทีว่าเป็นผู้ปราชัยในการเลือกตั้งอย่างแน่นอน จึงทำให้ผู้คนทั่วสหราชอาณาจักรเห็นดีเห็นงามและหวงแหน NHS ราวกับเป็นสมบัติของชาติที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แม้กระทั่งนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ที่เพิ่งเฉียดตายกับไวรัส COVID-19 จนต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูอยู่ระยะหนึ่ง ก็ยังยอมรับว่าระบบ NHS ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ และไม่ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนแรกที่ต้องเสียชีวิตระหว่างดำรงตำแหน่งด้วยไวรัสนี้ NHS ยังมีงบประมาณที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยสูงถึง 1 ใน 5 ของงบประมาณแผ่นดิน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์ก็มีน้อย สวนทางกับผู้รอใช้บริการที่มีจำนวนมาก ก็เสี่ยงที่จะทำให้ NHS มีการเปลี่ยนแปลงได้ หากงบประมาณที่เพิ่มไปไม่ส่งผล แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตนี้ ป็ทำให้หลายคนล้วนชื่นชมและสนับสนุนให้ดำเนินระบบอันเท่าเทียมนี้ต่อไป จึงไม่แปลกใจที่ชาวอังกฤษล้วนภาคภูมิใจกับประเทศของตัวเอง แม้กระทั่งคนนอกประเทศ ก็ล้วนอยากได้สัญชาติอังกฤษมาประดับชีวิต เพราะนอกเหนือจากโอกาสทางการศึกษาและอาชีพแล้ว ก็ยังมี NHS ที่ทำให้พวกเขามั่นใจว่า ชีวิตของพวกเขา จะได้รับการดูแลตั้งแต่ออก จากครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน และออกไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับประเทศชาติได้ เชิงอรรถ David and Victoria Beckham 'caught coronavirus in LA in March and petrified designer forced the entire family to quarantine for more than two weeks after several staff were infected' The Prime Minister's letter on Coronavirus: Stay at home to protect the NHS and save lives. Stay at Home, Protect the NHS, Save Lives National Health Service Coronavirus pandemic: Which politicians and celebs are affected? COVID-19 pandemic by country and territory David Beckham Facebook