เบียร์ (Beer) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมสำหรับแทบทุกชนชั้น ทุกชาติ ทุกภาษานั้นเป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติยาวนานหลายพันปี ตั้งแต่ยุค เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ราว 3,500-3,100 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยความเชื่อที่ว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ปลอดภัยมากกว่าน้ำ เนื่องจากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่ในน้ำนั้นตายไปในกระบวนการผลิต อีกทั้งยังมีสารอาหารที่เครื่องดื่มอื่นไม่มี สมัยอียิปต์โบราณเองก็มีบันทึกบน กระดาษปาปิรุส (Papyrus) เกี่ยวกับกระบวนการหมักเบียร์ โดยวัตถุดิบยุคแรก ๆ จะเป็นผลไม้พวกอินทผาลัม ทับทิม และสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่น ปัจจุบัน วัตถุดิบหลักในการผลิตเบียร์จะเป็นเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ได้แก่ มอลต์ (Malt) ฮอพ (Hop) ผ่านกระบวนการหมักร่วมกับยีสต์ (Yeast) และน้ำ เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ เมื่อกล่าวถึงเบียร์ คนส่วนใหญก็จะนึกถึงฟองสีขาว ที่สร้างความแตกต่างทางด้านรูปลักษณ์และรสชาติให้แก่เครื่องดื่มชนิดนี้ กระบวนการที่ทำให้เกิดฟองและรสซ่าของเบียร์นั้น เราเรียกว่า คาร์บอเนชั่น (Carbonation) ซึ่งเกิดจากการหมักวัตถุดิบกับยีสต์ ซึ่งจะค่อย ๆ ย่อยสลายน้ำตาลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ รวมทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิด "ฟอง" ที่อยู่ด้านบนของเบียร์เมื่อเปิดขวดและเทออกมา โดยปกติ คาร์บอเนชั่นเป็นกระบวนการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่ผู้ผลิตก็สามารถบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของเหลวลงไปผสมกับเบียร์ในขวดที่มีฝาปิดสนิท ก๊าซคาร์บอนไดออกไซดที่ใช้นั้นเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอล โดยโรงงานจะทำการแยกก๊าซดังกล่าวก่อนปล่อยออกสู่อากาศ ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์และจัดเก็บในรูปของเหลวก่อนการจัดจำหน่าย อย่างไรก็ดี ความต้องการเอทานอลซึ่งถูกใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เนื่องจากปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในสหรัฐอเมริกาลดลงมากกว่าร้อยละ 30 ส่งผลให้โรงงานผลิตเอทานอลจำนวน 34 โรงจาก 45 โรงที่ขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่อุตสาหกรรมอาหารต้องลดกำลังการผลิตตาม เมื่อซัพพลาย (Supply) น้อยกว่าดีมานด์ (Demand) แน่นอนว่าสินค้าย่อมขาดตลาด รวมทั้งราคาของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตเครื่องดื่มอัดก๊าซชนิดต่าง ๆ รวมทั้งเบียร์ จำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตลง และอาจต้องมองหาทางเลือกอื่นแทนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การขาดแคลนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วในประเทศอังกฤษเองก็เพิ่งประสบกับปัญหาการขาดแคลนก๊าซดังกล่าว เนื่องจากโรงงานผลิตก๊าซในยุโรปหลายแห่งปิดซ่อมบำรุงพร้อมกัน จนส่งผลกระทบให้เกิดมาตรการจำกัดการซื้อเบียร์ของร้านค้าปลีกและผับ แถมปัญหานี้ยังเกิดในช่วงหน้าร้อนและช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ความต้องการเครื่องดื่มดังกล่าวสูงกว่าปกติซะอีก เรียกได้ว่าอรรถรสในการเชียร์ฟุตบอลของคอลูกหนังอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างคนอังกฤษลดหายไปพร้อมปริมาณเบียร์ในท้องตลาดกันเลยทีเดียว และเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบประการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นแน่หากเบียร์ขาดตลาดก็คือยอดขายของแต่ละบริษัทที่ลดลง ซึ่งนั่นหมายถึงรัฐบาลจะต้องสูญเสียรายได้จากภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไป ในสหรัฐอเมริกานั้น ภาษีในส่วนนี้สูงถึงหมื่นล้านเหรียญ (หรือประมาณ 3.24 แสนล้านบาท) นับว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่ใช่น้อย ของไทยเองอัตราภาษีเบียร์ที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 22% ซึ่งในปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมาจัดเก็บได้ถึง 79,090 ล้านบาท สูงเกินกว่าเป้าหมายถึง 3.58% คงต้องลองดูกันต่อไปว่าการขาดแคลนคาร์บอนไดออกไซด์อย่างในต่างประเทศจะเกิดขึ้นที่บ้านเราด้วยหรือไม่ หากเกิดขึ้นจริง เป้าหมายของกรมสรรพสามิตที่จะเก็บภาษีเบียร์เพิ่มขึ้นในปีนี้คงไปไม่ถึงฝั่งฝัน อ้างอิงข้อมูลจาก "Beer may lose its fizz as CO2 supplies go flat during pandemic" จาก https://www.reuters.com "Coronavirus: Fears of beer shortage as carbon dioxide supplies fizzle out" จาก https://www.gadgetclock.com “14 things you didn't know about the history of beer” จาก https://www.insider.com "Why are liquor stores considered ‘essential’ during COVID-19 pandemic? Here are 5 reasons" จาก https://www.clickorlando.com “The Oxford Companion to Beer definition of carbonation” จาก https://beerandbrewing.com/dictionary/UqfrcsPoAI/ “The Science Behind Beer Carbonation” จาก https://www.thespruceeats.com/why-is-beer-fizzy-353152 ขอบคุณภาพจาก ภาพปก Freepik/ ภาพที่ 1 Pixabay/ ภาพที่ 2 Freepik / ภาพที่ 3 Freepik/ ภาพที่ 4 Pixabay