โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร? อาจเป็นคำถามที่ทุกคนคงคุ้นชินหูเป็นอย่างดี อาจฟังดูเป็นคำถามที่ถามง่ายตอบง่าย แต่จริงๆแล้วเป็นคำถามที่สำคัญถ้าเราเข้าใสสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้เลยทีเดียว วันนี้เด็กนักเรียนในห้องเรียนแห่งหนึ่งได้ถูกถามด้วยคำถามนี้แต่ช่างน่าแปลกที่เด็กหลายคนไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เด็กๆเริ่มหันมองหน้ากัน ครูจึงกระตุ้นให้นักเรียนพยายามตอบคำถามนี้อีกครั้งโดยย้ำว่าไม่ต้องกลัวว่าจะตอบผิดคำถามนี้ไม่มีผิดมีถูก เด็กผู้หญิงผมสั้นหน้าตาคมคายที่นั่งด้านหน้าห้องเริ่มยกมือขึ้นเป็นคนแรกแล้วพูดว่า “หนูอยากเป็นคุณครูค่ะ” พอเห็นว่าเพื่อนเริ่มตอบคำถามแล้ว เด็กผู้ชายที่นั่งข้างๆจึงเริ่มยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ผมอยากเป็นทหารครับ”และเด็กๆอีกหลายคนก็ทยอยยกมือตอบคำถามนี้ คำตอบที่ได้นั้นส่วนมากก็จะได้เป็นอาชีพยอดนิยมเช่น หมอ พยาบาล นักบิน ฯลฯ เมื่อเห็นว่านักเรียนได้ตอบคำถามหลายคนแล้ว ครูจึงหันกลับไปถามนักเรียนหญิงคนแรกที่ตอบคำถามว่าอยากเป็นคุณครู “หนูรู้ไหมว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นครู” เด็กหญิงจึงตอบว่า “ต้องตั้งใจเรียนค่ะ” “แล้วหนูรู้ไหมว่าต้องเรียนที่ไหนใช้เวลากี่ปี เรียนเนื้อหาอะไรบ้าง ต้องสมัครสอบบรรจุยังไง ต้องสอบเรื่องอะไรบ้าง” ครูยิงคำถามต่อรัวๆ เด็กๆในห้องเริ่มส่งเสียงกันระงม บางคนก็พูดว่า “พวกเราจะรู้ได้ยังไงคะครูพวกเราเพิ่งจะอยู่แค่ม.1เองค่ะ” ครูจึงอธิบายเพิ่มเติมให้เด็กๆเข้าใจว่าการที่เราตั้งเป้าหมายว่าเราอยากจะเป็นอะไรนั้นเราต้องมองภาพให้ชัดเจนมากที่สุด เป้าหมายนั้นจึงจะมีโอกาสเป็นจริงมากที่สุด ครูยกตัวอย่างให้นักเรียนฟังว่าเหมือนกับเวลาที่เราจะวางแผนไปเที่ยวเราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากไปตอนไหน เดินทางยังไง มีค่าใช้จ่ายเท่าไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เมื่อได้เป้าหมายที่แน่ชัดแล้วเราจะได้ค่อยๆเตรียมตัว การที่เราเตรียมตัวเรื่อยๆถึงแม้บางครั้งอาจจะไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจแต่สิ่งที่เราเตรียมตัวนั้นจะไม่เสียเปล่าดีกว่าการที่เราแค่คิดเฉยๆ ไม่วางแผน ไม่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จนั้นคงยาก ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าการที่เรามีเป้าหมายจะทำให้เรามีแรงผลักดันยอมทำในสิ่งที่ยากๆหรือสิ่งที่เราไม่อยากทำเพราะเราจะมองไปที่เป้าหมาย ครูจึงยกตัวอย่างเพิ่มเติม ครูเล่าเรื่องลูกชายของครูชื่อน้องดิน อายุ4ขวบ เขามีเป้าหมายชีวิตชัดเจนคืออยากเป็นตำรวจ แม่เคยถามว่าอยากเป็นครูเหมือนแม่ไหม เขายืนยันหนักแน่นว่า “ไม่ครับ” หรือเวลาที่ญาติๆเขาชมว่าน้องดินหล่อจังเลยครับหล่อเหมือนพระเอกเลย น้องดินก็จะทำหน้าไม่พอใจ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความโมโหว่า “ไม่!น้องจะเป็นตำรวจ” ด้วยความที่น้องดินมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากแม่จึงใช้จุดนี้มาฝึกฝนเขา เช่นเวลาตื่นนอนในตอนเช้าน้องดินก็จะงอแงตามประสาเด็กๆไม่อยากล้างหน้าแปรงฟันอยากดูทีวีเลย แม่ก็จะบอกว่า “คุณตำรวจต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเองนะครับไม่อย่างนั้นจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไง” เมื่อน้องดินได้ยินเช่นนั้นในวันแรกเขายังต่อต้านและงอแงตามประสาเด็กๆ แม่จึงบอกว่า“การร้องไห้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ถ้าน้องไปล้างหน้าน้องก็จะได้ดูทีวี ถ้าน้องพร้อมแล้วให้ชวนแม่ว่า แม่ครับเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันเถอะ” วันต่อมาน้องดินตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับอาการงอแงอยากดูทีวีอีกแล้วแม่จึงถามว่า “ถ้าน้องอยากดูทีวีต้องพูดว่ายังไงนะครับ” น้องดินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แม่ครับเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันเถอะ” และหลังจากวันนั้นน้องดินก็ตื่นเช้ามาและชวนแม่ไปล้างหน้าแปรงฟันเอง สิ่งต่างๆที่น้องดินได้ฝึกฝนนั้นอาจจะทำให้น้องดินได้เป็นตำรวจอย่างที่ใฝ่ฝันหรือไม่นั้นยังไม่รู้แต่ที่แน่ๆคือน้องดินจะมีนิสัยที่ดีๆติดตัวไปในอนาคตแน่นอน ครูสรุปให้นักเรียนฟังว่าการตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด ความสำเร็จในชีวิตก็ต้องใช้เวลาและการวางแผนเป็นอย่างดีเช่นกัน โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรเป็นคำถามง่ายๆที่ใครๆก็ตอบได้แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำให้คำตอบนั้นเป็นความจริงได้ บทความโดย ครูน้ำสอนEngภาพปก จาก sasint/Pixabayภาพที่ 1 จาก mohamed_hassan/ Pixabayภาพที่ 2 จาก 14995841/Pixabayภาพที่ 3 จาก Peggy_Marco/Pixabay ภาพที่ 4 จาก AnnaliseArt/Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !