ทุกคนรู้ดีว่าโลกาภิวัตน์ที่โลกแคบลง ทำให้เราติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น เราอยู่ในยุคที่แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียเฟื่องฟู ภายในหนึ่งวินาทีเราสามารถส่งข้อความข้ามไปยังอีกซีกโลกผ่านอุปกรณ์สื่อสารในมือ ผิดกับยุคก่อนที่การส่งข่าวสำคัญต้องพึ่งพาจดหมาย โทรเลข ย้อนไปไกลกว่านั้นอาจต้องใช้นกพิราบส่งสาร แต่หากจะให้ย้อนไปได้ไกลกว่านั้นอีก เราอาจจะพบว่ามนุษย์ยุคโบราณสื่อสารข้ามภูเขาแต่ละลูกด้วยการผิวปากฟังดูอาจไม่น่าเชื่อ แต่การผิวปากแทนการพูดคุยปากต่อปากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เราเรียกการสื่อสารประเภทนี้กันว่า ภาษานก (Whistled Language) แม้การผิวปากในยุคนี้จะถูกเข้าใจกันในทางลบ ไม่ว่าจะถูกตีตราเป็นพฤติกรรมของจิ๊กโก๋ที่ใช้แซวผู้หญิง หรือบางบ้านมีความเชื่อว่าห้ามผิวปากตอนกลางคืนเพราะเชื่อว่าเป็นการเรียกผี แต่หากย้อนไปในอดีต การผิวปากคือภาษาหนึ่งที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันรูปภาพโดย Mokca : Pixabayภาษานก ใช้กันแพร่หลายในแถบชนบทของหลายพื้นที่ แต่ที่เป็นที่รู้จักกันดีและทุกวันนี้ยังมีคนผิวปากสื่อสารกันอยู่คือ ชุมชนในเกาะลา โกเมรา บริเวณนอกชายฝั่งของโมร็อกโก ด้วยในอดีตต้องสร้างบ้านให้มีระยะห่างกัน เพื่อเว้นพื้นที่ระหว่างที่อยู่อาศัยไว้เป็นที่ทำเกษตรกรรม การจะเดินไปเดินมาระหว่างบ้านแต่ละหลังจึงเป็นเรื่องลำบาก ชาวพื้นเมืองลา โกเมราจึงคิดค้นการสื่อสารโดยวิธีผิวปาก ที่เลียนแบบมาจากเสียงของนก จากการศึกษาพบว่า เสียงผิวปากสามารถส่งไปถึงคนที่อยู่บริเวณภูเขาอีกลูกหนึ่งได้อย่างชัดเจน ได้รับสาสน์ที่ส่งออกไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่องรูปภาพโดย Creisi : Pixabayผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันด้วยว่า เสียงผิวปากสามารถเดินทางได้ไกลถึง 5 กิโลเมตร ไม่มีการย้อนกลับหรือค่อย ๆ เบาลงหากพบสิ่งกีดขวางซึ่งต่างจากเสียงพูดปกติ และมีความดังมากกว่าเสียงตะโกนถึง 20 เดซิเบล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ที่ต้องการถนอมเส้นเสียง เพียงใช้แรงน้อยนิดในการผิวปาก ก็สามารถบอกเล่าเก้าสิบกับเพื่อนบ้านได้ชัดเจน ไม่ต้องตะเบ็งเสียงจนเจ็บคอรู้หรือไม่ว่าในบ้านเราก็มีกลุ่มคนที่ใช้ภาษานกสื่อสารกัน นั่นคือชนเผ่าม้งและชนเผ่าอาข่า ซึ่งเป็นการผิวปากที่มีโครงสร้างทางไวยากรณ์ครบถ้วนเหมือนภาษาอื่น ๆ จนภาษานกได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจาก UNESCO เพื่อต้องการให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก และร่วมกันอนุรักษ์ภาษานกเอาไว้ เพราะในปัจจุบันมีกลุ่มคนที่สื่อสารด้วยภาษานกเพียง 1,000 คนทั่วโลก และข่าวดีคือ เกาะลา โกเมรามีหลักสูตรภาษานกเปิดสอนสำหรับคนทั่วไปอีกด้วยรูปภาพโดย Jan Meeus : Unsplashในยุคที่เราใช้ชีวิตแบบออนไลน์ สื่อสารผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย และมองว่าการผิวปากเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มที่เห็นว่าการผิวปากเป็นการสื่อสารที่ดีที่สุด ผู้เขียนยังคิดอีกว่า ถ้าคนไทยเราเรียนรู้วิธีสื่อสารโดยการผิวปากได้ คงเป็นประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้น เพราะถึงแม้จะไม่สามารถออกไปพบปะพูดคุยกัน แต่เรายังผิวปากคุยกันได้ ไม่เปลืองไฟ ไม่เปลืองค่าอินเทอร์เน็ตรูปภาพหน้าปกโดย Animatorim : Pixabayคลิปวิดีโอการสื่อสารด้วยภาษานกจาก UNESCO