โยนิโสมนสิการ : ๑๐ พุทธวิธีคิดพิชิตความทุกข์ การพัฒนาปัญญาเป็นหัวข้อสำคัญประการหนึ่งตามหลักไตรสิกขาอันประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา จุดมุ่งหมายสูงสุดของการพัฒนานี้ก็เพื่อให้มนุษย์เข้าใจสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็น ความทุกข์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้น เพราะขาดการฝึกฝนตนเองตามหลักไตรสิกขาโดยเฉพาะปัญญา จึงไม่เข้าใจความเป็นจริงดังกล่าวนั้น หรืออาจจะเข้าใจหลักพุทธธรรมแล้ว แต่ยังไม่สามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดผลได้ มนุษย์ส่วนมากจึงยังวนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความทุกข์ กล่าวอีกนัย “ปัญญา” หรือความรอบรู้นั้นสัมพันธ์กับการใช้ความคิด และวิธีคิด พุทธธรรมจึงเป็น “พุทธวิธีคิด” เพื่อจัดการกับความทุกข์บางอย่างที่มาจากความคิดของเรา หลักปฏิบัติที่เรามักคุ้นชินกันคือปฏิบัติสมาธิภาวนา แม้การปฏิบัตินี้จะช่วยบรรเทา หรือกำจัดทุกข์ได้ แต่ทว่าในโลกแห่งความจริง เราไม่สามารถที่จะหยุดคิดได้ เพราะการคิดเป็นคุณสมบัติหนึ่งของจิตเรา พุทธวิธีคิด ๑๐ อย่าง คือคำสอนเรื่องโยนิโสมนสิการมีคำอธิบายอย่างชัดเจนตามเนื้อความที่ปรากฏในหนังสือพุทธธรรมของพระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต) โยนิโสมนสิการ เป็นคำศัพท์ภาษาบาลีสามารถแยกได้เป็น ๒ คำได้แก่คำว่า "โยนิโส" และคำว่า "มนสิการ" โยนิโส มีรากศัพท์คือโยนิ แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญาอุบาย วิธี ทาง ส่วนคำว่า มนสิการ แปลว่า การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา เมื่อเอาศัพท์มารวมกันจึงได้ว่า "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งมีความหมายว่า การทำในใจโดยแยบคาย เมื่อแปลให้เข้าใจง่าย ๆ โยนิโสนมนสิการก็คือวิธีคิดที่ถูกต้อง ถี่ถ้วน มีเหตุผล และเป็นระเบียบ เรียกว่าเป็น "พุทธวิธีคิด" นั่นเองพุทธวิธีคิดดังกล่าวนี้มีทั้งหมด ๑๐ ประการอันได้แก่๑. วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุและปัจจัย วิธีคิดลักษณะนี้เป็นการสืบค้นหาเหตุและปัจจัยของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เห็นว่าสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันตามเหตุปัจจัย อิงอาศัยกันและกันจึงเกิดมีได้ มีการให้ตัวอย่างไว้ว่า เมล็ดมะม่วงจะเติบโตเป็นต้นมะม่วงได้ ไม่ได้มีปัจจัยแค่เพียงเมล็ดพันธุ์และดินที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกเช่น ดินฟ้าอากาศ เป็นต้นที่ทำให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโตกลายมาเป็นต้นมะม่วงได้ เมื่อโยงเข้ากับชีวิตเรา ความเป็นทุกข์ในชีวิตเมื่อสืบสาวดี ๆ แล้ว มันมีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้เรามีความทุกข์นั่นเอง๒. วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ วิธีคิดลักษณะนี้คือสามารถแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ โดยการพิจารณาการมีอยู่ของสิ่งนั้น ๆ เกิดมีองค์ประกอบหลายส่วน หามีแก่นสารในสิ่ง ๆ นั้นไม่ ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นเพียงสมมติขึ้นโดยใช้ภาษาเป็นตัวกำหนดเรียก พุทธธรรมมองว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มีอยู่จริง ๆ ตัวมนุษย์เรา ก็เป็นเพียงองค์ประกอบของขันธ์ ๕ เท่านั้น ขันธ์แต่ละชุดก็ถูกเรียกชื่อด้วยภาษาที่แตกต่างกัน เช่น นาย ก นาย ข เป็นต้น เมื่อขันธ์เหล่านี้ถูกเรียกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงทำให้เรายึดติด และเชื่อว่าตัวเรามีอยู่จริง ๆ ในแง่นี้ เมื่อยึดติดกับตัวตนแล้ว บางครั้งหากใครมาต่อว่าต่อขาน นินทาเรา เราก็โกรธ เสียใจ ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้เองก็นำมาสู่ความทุกข์ได้ เพราะการยึดติดในตัวตนของเรา๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์หรือคิดเท่าทัน วิธีคิดลักษณะนี้เป็นความเข้าใจสภาพความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหล่านี้เป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดจะอยู่เหนือกฏเกณฑ์เหล่านี้ได้ เมื่อคิดได้ รู้เท่าทัน สามารถละความยึดมั่นถือมั่นอันก่อให้เกิดทุกข์ได้ หากเราสังเกตความจริงว่า ร่างกายมนุษย์ตั้งแต่เกิด โตขึ้น แก่เฒ่า และก็ตายไป ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เป็นอมตะ และหากเรามีวิธีคิดแบบนี้ จะทำให้เราเข้าใจสภาพชีวิตที่แท้จริง สิ่งอื่น ๆ ในโลกก็เช่นกัน เมื่อคิดได้ ก็รู้เท่าทัน ก็จะไม่จมอยู่กับความทุกข์เมื่อวันหนึ่งที่เราต้องเผชิญกับกฏแห่งสามัญลักษณ์นี้๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ ๔ วิธีคิดที่มีลักษณะเป็นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล โดยเอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้งแล้วพิจารณาว่า “ผล” นี้มาจาก “เหตุ” อะไร อริยสัจมี ๔ ประการ จัดเป็น ๒ คู่ได้แก่ ทุกข์คือความไม่สบายกายและใจ (ผล) กับสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ (เหตุ) คู่แรกนี้ถือว่า เป็นคู่แห่งปัญหาชีวิต ส่วนอีกคู่คือ นิโรธหมายถึงความไม่มีทุกข์ (ผล) กับมรรคแปลว่าหนทางปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ (เหตุ) คู่หลังนี้ถือว่าเป็นคู่แห่งการแก้ปัญหาชีวิต พุทธธรรมมักจะแสดงผลขึ้นก่อนเหตุ หากเราปวดศีรษะมาก มันเป็นผลมาจากอะไรบางอย่าง เช่น คิดกังวลมาก ความคิดกังวลจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลคือปวดศีรษะ สิ่งนี้คือปัญหาชีวิตที่ทำให้เราทุกข์ พุทธธรรมได้เสนอวิธีแก้ว่า ถ้าเราจะหายทุกข์หรือมีความสุขได้ จะต้องทำอะไรบางอย่าง ความไม่มีทุกข์หรือมีสุขเป็น "ผล" ที่เรียกว่านิโรธ การที่เราทำอะไรบางอย่างต่อ "กาย" และ "จิต" ของเรา การทำอะไรบางอย่างนั้นเป็น “เหตุ” ให้หายทุกข์ให้เกิดภาวะนิโรธ เช่น เราคลายความกังวลหรือทานยาแก้ปวดตามแนวทางนี้เราเรียกว่ามรรค มรรคจึงเป็น "เหตุ" ให้เกิดนิโรธนั่นเอง ๕. วิธีคิดแบบอรรถสัมพันธ์ วิธีคิดลักษณะนี้เป็นการคิดแบบที่มองเห็นความสัมพันธ์กันระหว่างหลักการกับความมุ่งหมาย หากกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนจะรู้ว่าควรปฏิบัติตามหลักการหรือหลักธรรมใดที่มุ่งสู่เป้าหมายนั้น ๆ ในทางกลับกัน คือการรู้ว่าหลักการหรือหลักธรรมนั้นจะนำไปสู่เป้าหมายอะไร เรามีเป้าหมายตั้งใจจะทำงานที่คั่งค้างให้สำเร็จ เรารู้ว่าหลักธรรมเรื่องอิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญนำไปสู่ความสำเร็จต่าง ๆ หากเราต้องการความสำเร็จนั้น เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมนี้๖. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก วิธีคิดลักษณะนี้เป็นการพิจารณาเห็นว่า ทุกสิ่งมีสองด้านเสมอคือมีทั้งคุณและโทษ หากคิดอย่างถูกต้อง คือฉลาดคิดจะใช้สอยสิ่งเหล่านั้นอย่างไรไม่เกิดโทษแก่เรา ตัวอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันคือ “อินเตอร์เน็ท” มี "คุณ" คือเราสามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ศึกษาหาความรู้ได้ ในทางที่เป็น "โทษ" มันก็เป็นเครื่องมือให้คนไม่ดีใช้แสวงหาผลประโยชน์ในทางผิดกฏหมายได้ ดังนั้นวิธีคิดนี้ช่วยให้เรารู้ถึงคุณและโทษของสิ่งต่าง ๆ และมีทางออกโดยรู้ว่าจะใช้สอยอย่างไรไม่ให้เกิดโทษแก่ตัวเราเอง๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม วิธีคิดลักษณะนี้ คือการพิจารณาว่าสิ่งที่เราบริโภคและอุปโภคควรมองเห็นคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของสิ่งเหล่านั้น หากเราบริโภคด้วยความรู้ความเข้าใจว่า "คุณค่าแท้" ของสิ่งนั้น ๆ คืออะไรถือว่าเป็นการบริโภคด้วยปัญญา ไม่หลงยึดอยู่ใน "คุณค่าเทียม" การหลงอยู่ในคุณค่าเทียมเพราะเราบริโภคเพื่อสนองตัณหาหรือความยากของเรา หากทานอาหารโดยรู้ว่าประโยชน์ทางโภชนาการสารอาหารคือคุณค่าแท้ ส่วนเรื่องรสชาติ หรือแบรนด์ของสินค้า เป็นเพียงคุณค่าเทียมที่เราควรตระหนัก ไม่ควรไปหลงอยู่กับมัน๘. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม วิธีคิดลักษณะนี้คือการมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ที่เป็นกุศล กล่าวคือเมื่อคิดแล้วปลุกเร้าหรือก่อให้เกิดคุณธรรมความดีงามขึ้นในจิตใจ หมั่นคิดแต่สิ่งดีงาม และเป็นกุศลบ่อย ๆ เหมือนในจิตเรามีแต่น้ำดีมากกว่าน้ำเสีย คล้าย ๆ การคิดบวก เมื่อเรามองโลกในแง่บวก จิตใจเราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ความกังวลใด ๆ ๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน วิธีคิดลักษณะนี้คือฝึกการรู้ตัวมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่จมอยู่กับอดีตที่ผ่านมา และไม่กังวลอนาคตมากเกินไป เพราะอดีตผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึงและเราก็ไม่มีทางจะรู้ได้แน่ว่า มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ปัจจุบันจึงสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า เมื่อเราคิดและทำอย่างไร จะนำพาเราไปยังทิศทางนั้น ๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชวาทหรือจำแนกแจกแจง วิธีคิดลักษณะนี้คือแยกแยะหรือวิเคราะห์ส่วนต่าง ๆ โดยพิจารณาเป็นส่วน ๆ เป็นเรื่อง ๆ ไป เป็นแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งไป โดยจะไม่ตีคลุมหรือสรุปภาพรวมของสิ่งนั้นโดยดูจากส่วนเดียวเท่านั้น เช่น เราเห็นพฤติกรรมใครก็ตามเฉพาะบางเรื่อง เราก็ไม่ควรสรุปโดยรวมว่า เขาคนนั้น ๆ จะต้องเป็นแบบนั้นทั้งหมด หากเราลองเอาทั้ง ๑๐ พุทธวิธีคิดมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้เขียนเองก็ดำเนินตามพุทธวิธีคิดเหล่านี้ เราจะสามารถจัดการกับความทุกข์ที่มาจากความคิดของเราได้พอ ๆ กับการปฏิบัติสมาธิเลยครับ