New Normal Two New World : โรคคู่ขนานของมนุษย์อินโทรเวิร์ต ณ เวลานี้ทุกคนทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงในทุกด้านและเป็นวงกว้าง ทำให้โลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างมาก การปรับตัวได้ของธุรกิจบางประเภทจะทำให้ยังคงอยู่รอดและสามารถเติบโตต่อไปและหลังจากผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่เรียกว่า “New Normal” หรือ New Norm ขึ้น ซึ่งหมายถึง “ความปกติใหม่” นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในการใช้ชีวิตประจำวัน และ การขับเคลื่อนทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะยากกับบุคคลทั่วไปในการใช้ชีวิตเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในช่วงแรก แต่สำหรับมนุษย์ประเภทหนึ่งกลับกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะคนประเภทนี้จะมีลักษณะไม่ชอบออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนภายนอก ไม่ชอบการที่ต้องอยู่กับผู้คนมากมาย ต้องการที่จะอยู่เงียบๆคนเดียวกับพื้นที่ส่วนตัว หากมีความจำเป็นต้องออกมามันจะเป็นการอึดอัดและไร้ความสุขอย่างมากที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก พฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้นเป็นบุคลิกของคนประเภทอินโทรเวิร์ต (Introvert) คือ การมีโลกส่วนตัวเป็นของตัวเอง ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า Introvert เป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงบุคลิกเฉพาะรูปแบบหนึ่งของคนประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเปรียบเปรยการใช้ชีวิตในรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ที่มีพฤติกรรมเฉพาะประเภทนี้ว่า “โรคคู่ขนาน” โดยแปลงคำแปลงความหมายมาจากคำว่า โลก หรือ โลกคู่ขนานซึ่งเป็นสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า มีโลกอีกด้านที่ดำเนินควบคู่ไปกับโลกของเราในทิศทางที่ตรงกันข้าม หากมองในมุมของคนทั่วไปถ้าเปรียบโลกเป็นสองซีก ให้ซีกโลกด้านขวาเป็นโลกของมนุษย์อินโทรเวิร์ตและซีกโลกด้านซ้ายเป็นโลกของคนทั่วไป โลกที่มีภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บนความเร่งรีบควบคู่ไปกับการทำงาน ทำให้มนุษย์ถูกเรียกว่าเป็นสัตว์สังคม ซึ่งพิษไวรัสโควิด-19 “โรค”ที่ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้แปรเปลี่ยนสภาพการณ์เป็น Work Form Home ทำให้ทั่วทุกมุมโลกปั่นป่วนและเสียศูนย์ ทุกอย่างกลับต้องหยุดชะงัก เกิดเสียงสะท้อนด้านลบเป็นส่วนใหญ่ จากที่เคยต้องพบปะผู้คน ติดเพื่อนฝูง ติดต่อสื่อสารเพื่อการทำงาน รักการสังสรรค์ กลับกลายเป็นต่อจากนี้ต้องใช้ชีวิตในโลกดิจิตอลไปโดยปริยาย หลายองค์กรต้องปรับตัว หันหน้าพึ่งเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อนำมาใช้ในการทำงานมากขึ้น เรียนทางไกลโดยการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการเรียนออนไลน์ เกิดการล็อกดาวน์ ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเกิดสถานการณ์เลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมจำนวนมาก จำกัดเวลาในการออกจากบ้าน จำกัดสถานที่ และส่งผลโดยตรงต่อการท่องเที่ยวสิ่งที่มนุษย์หาเวลาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมมักติดการเข้าสังคม ไม่อยากอยู่คนเดียว และอีกประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นคือการไม่สันทัดเทคโนโลยี ทุกอย่างก้าวเข้าสู่ดิจิตอลเกือบเต็มรูปแบบ บังคับทุกคนต้องเท่าทันโลก โดยเดิมทีก็เป็นเทคโนโลยีที่มักล้ำหน้า ทำให้ผู้คนสับสนและตามไม่ทันเสมอ เนื่องด้วยโลกที่กำลังก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 แต่ก็ยังมีผู้คนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเปราะบางที่ยากจะเข้าถึง หรืออาจไม่ชอบการถูกกักตัว แม้จะเป็นการกักตัวโดยกว้างแต่ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดและอยากจะออกไปข้างนอกตลอกเวลา เพราะต้องทำกิจวัตรประจำวันแบบเดิมๆ อยู่กับที่อาจเกิดความเบื่อหน่ายได้ แต่ถึงอย่างนั้นผลดีของมันคือทำให้ทุกคนมีเวลาเท่ากันในการใช้ชีวิตกับครอบครัวที่บ้านโดยไม่ต้องเดินทางไปไหน จากเหตุผลข้างต้นก็เพียงพอต่อคนทั่วไป เพียงพอต่อปัญหาที่ประดังเข้ามา ทั้งส่งผลกระทบทั้งด้านการเรียน หน้าที่การงาน ครอบครัว รวมไปถึงกลุ่มสังคมต่างๆ เช่น กลุ่มงาน เพื่อนฝูง ลูกค้า เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลมากน้อยตามสภาพแวดล้อมและบริบทรอบตัวในการดำเนินชีวิต ซีกโลกด้านขวาเป็นโลกของมนุษย์อินโทรเวิร์ต ตามทฤษฎีจิตวิทยาแบบวิเคราะห์ของคาร์ลจุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิสที่กล่าวว่า พลังชีวิตของพวกเขาจะได้จากการได้อยู่เงียบๆคนเดียวหรือเรียกว่า “คนเก็บตัว” (storylog, 2653: ออนไลน์) คนที่ถูกมองว่ามีบุคลิกภาพไม่ชอบสุงสิง ต่อต้านสังคม หรือเป็นโรคซึมเศร้า โดยความเป็นจริงแล้วทางการแพทย์เรียกพฤติกรรมเหล่านี้ว่าเป็นพฤติกรรมด้านบุคลิกภาพมากกว่าการเป็น“โรค”หรืออาการผิดปกติ ในทางกลับกันการดำรงชีวิตแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์และภาวะโรคโควิด-19 เหมือนกัน มุมมองของเรื่องนี้ดูเป็นเพียงสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่กระทบกระเทือนใดๆ นอกเสียจากความรู้เท่าทันเหตุการณ์โลกในทุกๆวันคือ การป้องกันตนเองให้ปลอดภัย ห่างไกลจากโรคโควิดเพียงเท่านั้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ใช้ความคิดได้ดีเมื่ออยู่ลำพัง แสดงทักษะการแก้ปัญหาหรือความคิดสร้างสรรค์ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ตามลำพัง จึงอาจไม่ชอบการประชุมหรือการสนทนาแบบกลุ่มและมักหลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โดยมักหลีกเลี่ยงช่วงเวลาเดินทางหรือสถานการณ์ที่ต้องพบปะคนมากมาย เช่น ขึ้นรถไฟฟ้า รอรถเมล์ หรือเดินผ่านย่านที่มีคนพลุกพล่าน เป็นต้น โรคโควิด-19 จึงไม่ส่งผลด้านลบใดๆต่อการเก็บตัวของมนุษย์อินโทรเวิร์ต เพราะเป็นช่วงปิดถนน ปิดสถานที่ต่างๆที่จะมีผู้คนสัญจรไปมามากมาย ไม่ต้องพบปะแบบตัวต่อตัว ไม่ต้องหลีกเลี่ยงจนเหนื่อย ไม่รู้สึกกังวลหรือเบื่อหน่ายกับการอยู่ที่เดิมๆ จึงกลับกลายเป็นผลบวกหรือมีค่าเท่ากับเพียงเท่านั้น โลกของบุคคลเหล่านี้เต็มไปด้วยจินตนาการ การนั่งคิดนั่งฝัน ใช้เวลากับตนเองอย่างสงบและเรียบง่าย จากการศึกษาของนักจิตวิทยา ฮานส์ ไอเซนิก ระบุว่าชาว Introvert ต้องการสิ่งเร้าจากโลกภายนอกเพื่อให้ตื่นตัวน้อยกว่าคนประเภท Extrovert ซึ่งได้ผลที่ตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่นการอยู่ในงานปาร์ตี้ ยิ่งใช้เวลานานยิ่งทำให้พวกเขาหมดพลังลงไปเรื่อยๆ กับโลกภายนอก ในขณะที่การอยู่ในโลกส่วนตัว ทำในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างสันโดษ จะเพิ่มพูนพลังให้พวกเขาราวกับการชาร์จแบต (เพชรมายา, 2563: ออนไลน์) ดังนั้นหากมองภาพสะท้อนของกลุ่มคนในสังคม แน่นอนว่าต่างคนต่างที่มา ภายใต้ผู้คนนับล้านคนย่อมมีความแตกต่างกัน หากมองแบบพาโนราม่าก็จะคิดว่าสังคมกว้าง หากมองให้แคบลงแบบเทเลโฟโต้ก็จะเห็นว่ามนุษย์มีความแตกต่างและมีจุดที่เหมือนกัน จึงมีการจัดประเภทมนุษย์จากบุคลิกภาพไว้ภายใต้สังคมที่กว้างเพื่อให้อยู่ในกรอบเดียวกัน และบทความนี้ต้องการนำเสนอมุมของคนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในด้านจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด ความสบายใจจากบุคลิกส่วนตัว และมองเห็นถึงข้อดีหลังจากเกิดพิษโควิด-19 จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้นบุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องปรับตัวมากนักกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกือบทั่วโลกประสบในยุคโควิดในด้านภาวะทางจิตใจ การใช้ชีวิตในพื้นที่ที่จำกัด โรคโควิด-19 จึงเปรียบเสมือนโรคคู่ขนาน ระหว่างโรคที่มาจากไวรัสชนิดหนึ่งกับกลุ่มคนประเภทหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นโรคไม่เข้าสังคม ภายใต้จักรวาลหรือเอกภพเดียวกันนี้ มักมีสองสิ่งที่ดำเนินไปพร้อมๆกันเสมอตามทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าโลกคู่ขนาน หากมองเรื่องโควิด-19ในมิติเดียวกับจักรวาลก็อาจพบได้ว่า ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของสถานการณ์ในปัจจุบันมักจะมีสิ่งดีเกิดขึ้นเสมอ แม้เป็นสิ่งดีที่แตกต่างหรือสิ่งดีๆที่มีเพียงเล็กน้อยนั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่ดีจริงเหมือนกันทุกคน หากปรับความคิดเป็นด้านบวกเราจะได้สติและมองเห็นอะไรหลายๆ อย่าง แต่มันขึ้นอยู่กับทัศนคติที่จะมอง ชีวิตนี้มันสวยงามถ้าหากคุณรู้จักเลือกที่จะมองในมุมที่แตกต่าง เครดิตภาพ ขอขอบคุณภาพปกจากเว็บไซต์ : https://www.canva.comhttps://bit.ly/385V4UT ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ pixabay : ขอบคุณภาพจาก pixabay ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 /ภาพประกอบที่ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !