บางที คนที่เดินสวนกับคุณเมื่อเช้าหน้าร้านกาแฟ อาจเป็นแอสเพอร์เกอร์ เพื่อนบางคนที่ชอบพูดแต่เรื่องของตัวเองซ้ำ ๆ ไม่สนใจว่าคุณจะอยากคุยเรื่องอะไร อาจจะเป็นแอสเพอร์เกอร์ก็ได้ แล้วแอสเพอร์เกอร์ คืออะไรโรคแอสเพอร์เกอร์ ซิมโดรม (Asperger's Syndrome หรือ Asperger's Disorder) เป็นความพกพร่องทางพัฒนาการรูปแบบหนึ่ง เป็นโรคทางพันธุกรรม จัดอยู่ในกลุ่มออกทิสติค (Autistic spectrum disoders) เป็นออกทิสติคกลุ่มที่ดีที่สุดก็ว่าได้ ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้ภาษา พูดจารู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจมุกตลก หรือบริบทของคำพูดที่มีความหมายซับซ้อน ไม่เข้าใจการแสดงอารมณ์ อ่านสีหน้าคนไม่ออก ลักษณะรูปร่างหน้าตาเหมือนคนปกติทั่วไป ส่วนใหญ่มีไอคิวสูง หากได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องอาจกลายเป็นอัจริยะได้เลยอย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นโรคนี้ โรคแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ที่ฉันรู้จัก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ขอเล่าสู่กันฟังแบบไม่ขอแตะประเด็นทางการแพทย์มากนัก เดียวจะเครียดเกินไป ช่วงหนึ่งของขีวิตได้มีโอกาสไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ ได้รู้จักกับคนที่เป็นโรคนี้ เขาเป็นเพื่อนผู้ชายหน้าตาดีมาก เรียนเก่งมาก เป็นนักศึกษาปริญาโทด้านคณิตศาสตร์พร้อมกับทำงานเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัย เราพบและได้พูดคุยกันอยู่หลายครั้ง เพื่อนหลายคนบอกว่าถ้าเขาไม่ต้องการจะคุยกับใคร หรือไม่สนใจจะรู้จักใคร เขาจะไม่ยุ่งด้วยเลย ซึ่งตอนนี้นเราแค่คิดว่าเขาคงเป็นพวกมีโลกส่วนตัวสูง หรือคงหยิ่ง แต่เมื่อได้รู้จักกันจริง ๆ เขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก การพูดคุยเพื่อเริ่มความสัมพันธ์ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่รู้จักเป็นครั้งแรกดูเป็นเรื่องยาก เขาจะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เค้าสนใจได้นานจนลืมสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชอบพูดวนเวียน ซ้ำ ๆ อยู่กับเรื่องคณิตศาสตร์ที่เขาสนใจ พูดเหมือนอยากให้เรารู้เท่า ๆ กับเขา มันคงเป็นไปไม่ได้เลย เราอาจเคยเรียนคณิตศาสตร์มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั่งคุยเรื่องแคลคูลัสและอินทิเกรต กับเขาได้ทั้งวัน เขาไม่มีทักษะการเข้าสังคม เขาไม่สบตาคู่สนทนา เวลาคุยกับเราจะก้มหน้าบ้าง มองข้ามหัวไหล่เราไปที่วิวด้านหลังบ้างอะไรทำนองนั้นคนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เหมือนเดิม อย่างที่เคยบอกไปแล้ว เขาจะทำกิจวัตรประจำวันตามลำดับเหมือนเดิมทุกวัน และของใช้ทุกอย่างต้องวางอยู่ในตำแหน่งเดิม ถ้ามีการย้ายตำแหน่งเขามีอาการ Meltdown คือตัวสั่น น้ำตาไหล อยู่เป็นพักใหญ่ เพราะมันทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มหยิบจับอะไรก่อน หรือการเข้าไปในแหล่งชุมชนที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนมาก แบบงานคอนเสิร์ต สถานที่แบบนั้นก็ทำให้เขา Meltdown ได้ บางทีก็จะวิ่งออกจากตรงนั้นไปเลย แล้วไปหาที่เงียบ ๆ ยืนอยู่คนเดียวสิ่งที่ทำให้เพื่อนคนนี้รู้สึกสบายใจ เมื่อต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นคือ การท่องอินเตอร์เน็ตเขียนคอมเม้นโน่นนี่ เพื่อบอกเล่าความรู้สึกที่เขามีต่อสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องที่เขาทำได้ดีกว่าการพูดคุยกันต่อหน้าพฤติกรรมบางอย่างที่เราจะตกใจคือคิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาเลย เช่นไปกินข้าวในร้าน อาหารหน้าตาไม่น่ากิน ถ้าเป็นเราจะไม่พูดอะไร แต่เขาจะพูดโพร่ง ออกมาเลยว่า "มันไม่น่ากิน" ถ้าอาหารไม่อร่อยก็พูดเลย "ไม่อร่อย" บางครั้งเดินผ่านคนอ้วนก็พูดเลยว่า "อ้วน" แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผู้เขียนได้รู้จักคนเป็นแอสเพอร์เกอร์ แต่ก็เข้าใจพฤติกรรมของคนเป็นโรคนี้อยู่ไม่น้อย ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายหน้าตาดี การศึกษาดีจะมีความพกพร่องทางการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และขาดทักษะทางสังคมได้มากมายขนาดนี้ เพื่อนคนนี้รู้ตัวเองว่าเป็นแอสเพอร์เกอร์ ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต เขาพยายามพัฒนาตัวเองจนได้เรียนถึงปริญญาโท ถือว่ามาได้ไกลมาก แต่เขาก็บอกเสมอว่าการอยู่ในที่ที่มีคนเยอะวุ่นวาย ยังคงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขาอยู่ดี เมื่อจบคอร์สเรียนภาษาผู้เขียนก็เดินทางกลับไทยและยังไม่เคยรู้จักใครในเมืองไทยที่เป็นแอสเพอร์เกอร์เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี จากงานวิจัยบอกว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ได้ 3 คนต่อประชากร 1,000 คน อย่างไรก็ดีแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ ถ้าใครมีลูกที่ร้องโวยวายไม่ยอมให้อุ้ม แสดงอาการผลักออกทุกครั้งที่คุณจะเข้าไปกอด หอม หรือเมื่อเด็กสามารถพูดได้แล้ว อยู่ในวัยเข้าเรียนแล้ว แต่พูดเฉพาะเรื่องซำ้ ๆ ประโยคซ้ำ ๆ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นโรคนี้ การพาไปพบแพทย์โดยเร็วจะเป็นผลดีต่อเด็กและคนเป็นผลดีต่อผู้ปกครองที่จะได้เรียนรู้ว่าจะต้องเรียนรู้การปรับพฤติกรรมลูกอย่างไรให้สามารถอยู่ในสังคมได้ส่วนเพื่อนของผู้เขียนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ยังคงอัฟเดทเรื่องราวระหว่างเพื่อนทางเฟสบุ๊คกันอยู่บ้าง ซึ่งตอนนี้ได้เข้าเรียนต่อปริญญาเอกและอีกไม่นานจะเข้าพิธีแต่งงานกับแฟนสาว ได้ยินอย่างนี้แล้วก็อดยินดีกับเพื่อนไม่ได้ ขออวยพรให้เพื่อนมีควมสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตตลอดไป เรื่อง Butr Clubขอขอบคุณภาพจาก Pixabay (เครดิตปก /ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 /ภาพที่ 4 /ภาพที่ 5)