สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน "เพราะเรื่องของคนจัดการงาน ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับเรื่องของคนจัดการคน" เป็นคำที่ผมมักพูดเสมอ เมื่อต้องให้คำปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ในที่นี้เราจะเรียกว่า “หัวหน้า" โดยเฉพาะการบริหารจัดการยุคใหม่ ที่ต้องรับมือกับลูกน้องหลากหลายอายุ เพศ วัย และการศึกษา บางครั้งหัวหน้าก็ลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อหวังให้ถูกใจลูกน้องคนหนึ่ง แต่กลับพบว่าไม่ถูกใจลูกน้องอีกคน เลยต้องมานั่งเขียนบ่นใน Social media หวังระบายอารมณ์กันไปผู้เขียนนำเสนอ “5 ทักษะสำคัญ อาวุธคู่กายของหัวหน้างานยุคใหม่” ที่สรุปรวม ๆ มาจากการพูดคุยกับหัวหน้าหลายบริษัท มาให้ได้อ่านกัน มีอะไรบ้าง ตามอ่านในบรรทัดต่อไปได้เลยครับ1) รู้เขา รู้เรา ใช้คนตรงงาน ได้งานตรงใจก่อนที่จะใช้งานลูกน้อง หัวหน้าต้องศึกษามาดีหน่อย ถ้าจะถามตรง ๆ ว่า “น้องชอบงานแบบไหน” เขาคงตอบ “ชอบทุกงานครับพี่” ตอบแบบนี้คงไม่เป็นอันต้องทำอะไร เพราะพอหลังมอบหมายงานให้ ลูกน้องมักจะบ่นทีหลัง (ไม่ให้หัวหน้าได้ยิน) ว่า “งานยากจังเลย” ดังนั้น ก่อนเริ่มเวทีประลองทักษะของลูกน้อง หัวหน้าควรพูดคุยกับเขาให้มีสีสัน (ไม่เหมือนการสัมภาษณ์งาน) เพื่อเปิดใจระหว่างกัน เช่น ถามสิ่งที่เขาชื่นชอบแล้วเราก็คล้อยตาม ถามถึงชีวิตครอบครัว ความมุ่งมั่น ความพยายาม ความสำเร็จที่ผ่านมา เป็นต้น เมื่อรู้จักกันดีแล้ว หัวหน้าค่อยมอบหมายงานที่เขาถนัดก่อน เพื่อดูฝีไม้ลายมือ เมื่อลูกน้องทำงานถนัดได้สำเร็จ จะเกิดพลังใจทำงานที่ยากขึ้นเป็นลำดับ หัวหน้าค่อย ๆ ทำแบบนี้ สุดท้ายก็จะได้ทั้งใจและงานไปพร้อม ๆ กัน2) "ชี้และนำ" ไม่ใช่ "สั่งให้ทำและรอตาม"เมื่อมีโอกาส ผู้เขียนจะพูดคุยกับลูกน้องหลังจากพูดคุยกับหัวหน้าบ้างว่า "คิดอย่างไรก้บหัวหน้าของเขา" คนที่ยินดีก็พูดตอบได้ดี คนที่อึดอัดก็ใส่เสียเต็มที่ คำที่ผู้เขียนเจอบ่อยหน่อย ตัวอย่างเช่น “นี่เป็นคำสั่ง” คำนี้คงจะชินหู และกลายเป็นคำล้อเลียน สำหรับลูกน้องที่โดนหัวหน้างานออกคำสั่งบ่อย ๆ จะทำให้ลูกน้องกลายเป็นไม้ท่อนเดียว แข็งทื่อ “้ถ้าพี่ไม่สั่ง หนูก็คงคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี” หัวหน้างานควรติดอาวุธประจำกาย หลังมอบหมายงานแล้ว ควรชี้แนะ ชี้นำ ชี้โพรงให้ได้หาทางไปบ้างตามประสบการณ์ แต่อย่าไปยืนตรงหน้าคำตอบ หรือชี้จุดเฉลยให้ดู เพราะเขาอาจสบายในวันนี้ แต่เราจะลำบากในวันหน้า หรือหากพบว่าเขาใช้เวลานานเกินไปในการแก้ไขปัญหา ในฐานะหัวหน้าคน ก็ควรกลั่นประสบการณ์ที่สะสมมาของตนเอง และออกเดิน “นำทาง” ให้เขาเห็น รับรองได้เลยว่า ลูกน้องคงดีใจและยอมรับแน่นอน3) รับฟังอย่างเข้าใจ และตัดสินใจอย่างรวดเร็วปัญหาที่ลูกน้องมองหาที่พึ่ง คือปัญหาที่สร้างการยอมรับนับถือได้ดี ยิ่งหากที่พึ่งนั้น คือหัวหน้าของเขา ดังนั้น ทักษะการรับฟังที่ดีจึงเป็นสิ่งที่หัวหน้ายุคใหม่ต้องมี ผู้เขียนมีวิธีการปฏิบัติที่ไม่ยากมานำเสนอ แค่ "ฟัง" มากกว่า "พูด" หัวหน้าส่วนใหญ่ หลังจากฟังปัญหาแล้ว มันจะคันปากหน่อย ๆ อยากตอบไปทันทีทันใด ก็ขอให้อดใจไว้นิดหนึ่ง นั่งฟัง มองตา พยักหน้า พูดบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ต้องซักถามมาก หากปัญหาใดต้องการตัดสินใจทันที หากทำได้ทำเลย อย่าอมพะนำเอาไว้ บางครั้งหัวหน้าก็มักเก็บกลยุทธ์ไว้เป็นไม้เด็ด ไม้สุดท้าย บอกเชิงพิสูจน์ว่า "อยากรู้ว่าเขาจะมีฝีมือไหม" "อยากรู้ว่าน้องจะทำได้ไหม" จากประสบการณ์ของผู้เขียนบอกเชิงเปรียบเทียบได้ว่า "เหล็กกำลังร้อนควรรีบตีโดยทันที" การตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ทันสถานการณ์ จะทำให้งานเดินหน้าไปได้ แต่มีข้อคิดสะกิตใจสักนิด "หัวหน้างานต้องคิดให้รอบคอบ รอบด้านก่อนตัดสินใจทุกครั้ง" เท่านั้นเอง 4) เรียนรู้ให้รอบด้าน ดีกว่านั่งเทียนและคอยเดาขึ้นชื่อว่า "หัวหน้า" ก็ต้องโดดเด่นในด้านผู้นำ มีประสบการณ์ และความรู้รอบตัว หากเราช้ากว่าโลก โลกก็พร้อมเหยียบเราแล้วข้ามไป หัวหน้าต้องหมั่นศึกษา อ่าน เรียนรู้ให้รอบด้าน มากน้อยไม่สำคัญ รู้แล้วหรือยังสำคัญที่สุด รู้จากลูกน้องบ้างก็ได้ แต่อย่าสมัครเป็นนักเรียนกับลูกน้องตลอดไป ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองด้วย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น สร้างความประทับใจให้ลูกน้องเห็น เดี๋ยวนี้โลกยุคใหม่เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่มีเวลาอ่านก็เปิดฟังเอา ไม่ยากเท่าไร แล้วนำความรู้เหล่านั้น ไปประยุกต์ช่วยลูกน้องให้ประสบความสำเร็จ ดีกว่าการพูดว่า "พี่คิดว่า" "พี่เดาว่า" พี่คาดว่า" ซึ่งลูกน้องเองพอได้ยินแบบนี้ ใจเขาก็เริ่มท้อ เริ่มออกห่างไปแล้ว 5) มองในมุมนักบริหาร เพื่อจัดการแบบเน้นที่ผลลัพธ์ทักษะสุดท้ายสำคัญมาก เจ้าของบริษัทคงไม่สร้างองค์กรมาเพื่อการกุศล หัวหน้าไม่ควรมองในมุมลูกน้องมากไป "สงสารน้อง" "เขาทำงานเยอะนะพี่" "งานมันยากนะครับ เราคงต้องตอบแทนเขาให้เหมาะสม" เข้าใจว่าหัวหน้าก็ไต่ระดับมาจากลูกน้อง เลยมีความเข้าอกเข้าใจลูกน้องเป็นอย่างดี แต่พอมาอยู่ในระดับนี้แล้ว ต้องวางตัวแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือ บริหารจัดการในมุมบริหาร เช่น จัดการต้นทุน จัดการคน จัดการงาน จัดการวัตถุดิบ จัดการงานผลิต จัดการเวลาทำงาน เป็นต้น เวลาทำงานแค่ 8 ชั่วโมงต่อวัน บริหารอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดสำหรับองค์กร ใช้ลูกน้องได้เต็มที่ แต่อย่าปล่อยฟรีให้ลูกน้อง คุมบ้าง เข้มบ้าง รุกบ้าง รับบ้าง สลับกันไป ท้ายสุด ผู้เขียนหวังอย่างยิ่งว่างานเขียนนี้ จะพอเข้าอกเข้าใจผู้อ่าน หรือหัวหน้าบ้าง หากชื่นชอบก็กดติดตาม หากชื่นใจก็ Comment ผู้เขียนยินดีรับฟังครับขอบคุณภาพจาก : freepikภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3