ภาพปกโดย Thanapipat Kulmuangdoan จาก canvaหลังจากมีการรายงานข่าวในสื่อต่าง ๆ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ประเทศแอฟริกาใต้ รายงานไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงการตรวจพบ เชื้อโควิด B.1.1.529 จากตัวอย่างที่เก็บจากผู้ติดเชื้อคาดว่าเป็นรายแรกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 และองค์การอนามัยโลกกําหนดให้ B.1.1.529 เป็น สายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern) โดยให้ชื่อว่า “โอไมครอน (Omicron)” เนื่องจากมีการแพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คนอย่างรวดเร็ว และมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิมโดย ศาสตราจารย์ ทูลิโอ เด โอลิเวรา ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและการรับมือโรคระบาด ในแอฟริกา ระบุว่า พบว่ามีกลายพันธุ์ไปมากถึง 50 ตำแหน่ง ที่สำคัญก็คือ ในจำนวนดังกล่าว เกิดการกลายพันธุ์ในส่วนที่เป็นตัวกำหนดให้สร้างโปรตีนหนาม มากถึง 32 ตำแหน่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มีการกลายพันธุ์ในส่วนที่กำหนดรูปแบบของ รีเซปเตอร์ ไบน์ดิง โดเมน (อาร์บีดี) ของหนามโปรตีนถึง 10 ตำแหน่ง อาร์บีดี คือส่วนที่ไวรัสใช้ในการจับเกาะกับเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ตรงบริเวณที่เรียกว่า เอซ 2 เพื่อเปิดช่องให้ไวรัสเข้าไปสู่เซลล์แล้ว ใช้เซลล์ในร่างกายมนุษย์เป็นโรงงานผลิตไวรัสต่อไปไม่สิ้นสุด ภาพโดย Matryx จาก Pixabayทำให้ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังจับตามองเกี่ยวกับความรุนแรงและรวดเร็วในการแพร่กระจาย จึงเริ่มมีมาตรการคุมเข้มในการเดินทางเข้าออกประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ของหลายประเทศ หลังจากพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ “โอไมครอน” ซึ่งสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังแพร่ระบาดทั่วไปในตอนนี้มีการกลายพันธุ์แค่ 9 ตำแหน่ง โดยสายพันธ์โอไมครอนนั้นเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ แพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า และกำลังสร้างความกังวลอย่างมากให้กับหลายประเทศทั่วโลกภาพโดย Engin_Akyurt จาก Pixabay โดยสหราชอาณาจักร พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนแล้ว 2 ราย โดยทั้ง 2 รายความเกี่ยวข้องกันมีประวัติการเดินทางไปยังแอฟริกาใต้ และขณะนี้ผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดอยู่ในระหว่างการตรวจหาเชื้อซ้ำและกักตัว และสหราชอาณาจักรเองได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา เพื่อชะลอการแพร่กระจายเชื้อโอไมครอน จากผู้ที่เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของสหราชอาณาจักร ได้ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่เชื้อโอไมครอนจะทำให้วัคซีนโควิด 19 มีประสิทธิภาพน้อยลงภาพโดย Anna Shvets จาก Pexelsทางฝั่งของทางเยอรมันนีก็พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนหลายรายที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้ และได้รับการยืนยันว่ามีผู้เชื้อโอไมครอนแล้ว 2 รายที่รัฐบาวาเรีย โดยนาย ลีฟ เอริค แซนเดอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ชาริเต ในกรุงเบอร์ลิน ระบุว่า วัคซีนต้านโควิดในปัจจุบันน่าจะป้องกันโอไมครอนได้บางส่วนเท่านั้น ซึ่งชาวเยอรมันส่วนใหญ่กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการโควิดที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นภาพโดย pasja1000 จาก Pixabay ด้วยการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่รวดเร็ว และมีโอกาสที่จะทำให้วัคซีนต้านโควิดประสิทธิภาพลดลงได้สูงซึ่งทำให้ทั่วโลกตื่นตัวอีกครั้ง จึงทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็น สายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยคำจำกัดความของการกลายพันธุ์ที่น่ากังวล (variant of concern) ของ WHO คือ ไวรัสกลายพันธุ์ที่ 1. มีการแพร่ติดต่อเพิ่มขึ้นที่จะเป็นอันตรายต่อประชาชน 2. เพิ่มความรุนแรงในด้านอาการทางคลินิก หรือ 3. ลดประสิทธิผลของมาตรการด้านสาธารณสุขและสังคม หรือการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เช่น ATK หรือ PCR ด้อยประสิทธิภาพวัคซีน ยาต้านไวรัสที่มีใช้อยู่ภาพโดย neelam279 จาก Pixabay ย้อนกลับมาดูสถานการณ์ในไทย ข้อมูลจาก ศ.ดร.นพ. ประสิทธ์ วัฒนาภา เน้นย้ำว่าให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิด 19 ควรจะรีบไปฉีดวัคซีนต้านโควิด 19 เนื่องจากมีการประเมินว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธ์ตัวนี้จะมีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าสายพันธ์เดลต้า และถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และมีโอกาสที่จะทำให้วัคซีนต้านโควิดประสิทธิภาพลดลงได้สูง ซึ่งทำให้ทั่วโลกต้องตื่นตัวอีกครั้ง และยิ่งช่วงอากาศเย็นกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวของหลายประเทศนั้น มีโอกาสแพร่ระบาดได้เร็วยิ่งขึ้น ภาพโดย KitzD66 จาก Pixabay โดยประเทศไทยมีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข สั่งห้ามคนจาก 8 ประเทศ ที่พบเชื้อกลายพันธุ์ชนิดนี้ ซึ่งได้แก่ นามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตินี โมซัมบิก แอฟริกาใต้ มาลาวี เดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางก่อนหน้านี้ จะให้กักตัวเป็นเวลา 14 วันทุกราย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอไมครอนจะสร้างความกังวลแค่ไหนก็ตาม อยากให้ทุกคน ตั้งสติและเตรียมความพร้อมตั้งรับสำหรับมาตรการป้องกันโควิดต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านความเป็นอยู่ หรือด้านเศรษฐกิจและสังคม ปกป้องตนเองและคนรอบตัวโดยการหาข้อมูลและปฏิบัติตามข้อควรระวังที่เหมาะสม รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก :TNNข่าวเที่ยงThairath Onlineมติชนออนไลน์workpointTODAYCenter for Medical Genomicsเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !