ยุคนี้ชั่วโมงนี้คงหนี้ไม่พ้นครับสำหรับวิกฤต Covid-19 ที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องพบเจอกับวิกฤตนี้ งานน้อย ถูกลดเงินเดือน หาหนทางที่จะเดินต่อยังไง แต่ภาระหนี้สินไม่ได้ลดลงเลยยังคงเท่าเดิม และดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตาม Covid-19 ไปซะแล้ว แต่ไม่เครียดครับ ผมจะไม่เครียดกับมัน ใช้ชีวิตให้มีความสุขสนุกไปกับทุกปัญหาที่เกิดอย่างน้อยเราก็มีประสบการณ์ว่าเราควรจะสู้กับปัญหาเหล่านั้นได้ยังไง สนุกไปกับดอกเบี้ย สนุกกับภาระหนี้ สนุกไปกับการวางแผนการใช้เงินให้เป็นระบบหรือมีวินัยทางการเงินให้ดี รับรองครับเราจะขจัดความเครียดนั้นไปได้ ลองมาดูกันดีกว่าครับว่าผมมีวิธีจัดการความเครียดในภาวะ Covid-19 นี้ยังไง 1.ใช้บัตรเครดิตให้ตรงกับสถานการณ์ บางท่านอาจมีบัตรเครดิตหลายใบจนลืมหรือสับสนไปเลยว่าบัตรอันไหนให้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง อันไหนคือกำไร อันไหน 0% ซึ่งการใช้บัตรเครดิตแต่ละใบก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราจะต้องจ่ายในตอนนั้นด้วย เช่น ถ้าเราเข้าไปเติมน้ำมันรถยนต์ แต่เรากลับเอาบัตรที่ใช้ลดในการซื้อสินค้า 0% ไปเติม แล้วมันจะได้อะไรล่ะครับ เพราะฉะนั้นเราควรแยกให้ดีนะครับว่าบัตรไหนที่สามารถใช้เติมน้ำมันได้แล้วมีส่วนลด บัตรไหนซื้อของได้แล้วมีส่วนลดได้ (แม้ช่วงนี้น้ำมันจะลดราคากันลงซะเหลือเกิน) รับรองครับมันจะช่วยคุณประหยัดเงินและยังได้ข้อเสนอดีๆ ตามมาอีกเพราะบางบัตรอาจมีการส่งเสริมให้ได้รับรางวัลจากห้างร้านหรือ สถานบริการน้ำมันที่ร่วมรายการแม้กระทั่งบัตรของกำนัลเพิ่มขึ้นมาอีกด้วยเอาไว้ไปรับของรางวัลเพื่อให้ชีวิตเราสนุกๆ กันไปอีกครับ 2. ใช้อย่างชาญฉลาด ใช้แล้วจ่ายคืนได้ อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ รู้จักประมาณตัวเอง ยับยั้งกิเลสตัวเองให้ได้ด้วยครับ เพราะถ้าเราจะใช้บัตรเครดิตอย่างเต็มจำนวนนั้นอย่างลืมนะครับ เราเองก็ต้องจ่ายคืนเติมจำนวนทุกๆ รอบบิลด้วยเช่นกัน เพราะจะทำให้คุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลยแม้แต่บาทเดียวเช่นกัน แต่ก็ยังมีอนุโลมให้นะครับสำหรับการซื้อสินค้าแบบผ่อนจ่ายดอกเบี้ย 0% (ของชอบเลยล่ะกัน) ส่วนสำหรับการรูดใช้จ่ายอื่นๆ คุณต้องจ่ายเต็มจำนวนเท่านั้น แล้วคุณจะอยู่รอด(อย่างน้อยเขาก็ให้คุณใช้ก่อนจ่ายที่หลัง) แต่ถ้าเมื่อใดคุณคิดว่าจะชำระเพียงแค่ขั้นต่ำแล้วละก็รับรองได้เลยครับว่าคุณจะต้องเจอกับดอกเบี้ยต่อปีที่สุดโหด ซึ่งจะนำพาคุณไปสู่ปัญหาทางด้านการเงินในอนาคตแน่นอน 3. ควรมีวินัยในการชำระหนี้ ตรงต่อเวลา ถ้าคุณไม่มีวินัยในการชำระหนี้มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรแน่ถ้าคุณชำระหนี้นั้นเต็มจำนวน เพราะถ้าคุณชำระล่าช้าเกินกำหนดเวลาคุณก็ต้องมาเสียค่าธรรมเนียมล่าช้าและอาจจะรวมไปถึงดอกเบี้ยในระยะหลังอีกด้วย ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นสูงจนแทบจะเป็นลมเมื่อได้เห็นเพราะมันอาจจะถึง 20-28% ต่อปีเลยทีเดียว และอาจจะไปส่งผลกระทบต่อคะแนนสะสมแต้มต่างๆ ในบัตรของคุณ และอาจจะกระทบถึงการพิจารณาให้กู้ในอนาคตต่อไปของคุณอีกด้วย หากไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นไม่ต้องรอให้ถึงกำหนดวันที่ต้องชำระเงินหรอกครับ ถ้าคุณพร้อมเมื่อใดคุณรีบโอนจ่ายหรือนำไปชำระได้เต็มจำนวนในทันทีเลยจะดีกว่ามั้ยครับ 4. จ่ายขั้นต่ำระวังจะเครียดไปอีกนาน บางท่านอาจจะคิดว่า "แหม ก็จ่ายขั้นต่ำมันก็ทำให้เกิดสภาพคล่องสามารถผ่อนจ่ายได้ไปเรื่อยๆ โดยไม่เดือดร้อน" แต่อย่าลืมไปนะครับว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยมันมากจนคุณอาจคิดไม่ถึง เพราะฉะนั้นการชำระบัตรเครดิตที่ดีที่สุดควรชำระแบบเต็มจำนวน แต่ถ้าคุณยังจ่ายขั้นต่ำอยู่อีกรับรองได้เลยว่าคุณตกหลุมพลางไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีคนตกลงไปแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย จนนำไปสู่ปัญหาการหมุนเงินไม่ทันยืมจากบัตรนั้นมาใช้บัตรนี้ เพื่อให้หมุนไปได้แต่ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาให้หมดไปเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่รู้จักจบสิ้น แต่ถ้าหากคุณอยากจะหลุดจากวังวนของการเป็นหนี้ ผมแนะนำเลยครับว่าชำระบิลแบบเต็มวงเงินนี้แหละครับดีที่สุดแล้ว ซึ่งผมก็ทำอยู่ (มันดีจริงๆ นะครับ) 5. มีบัตรเยอะใช้ว่าจะเท่ สุดยอดครับสำหรับหัวข้อนี้ ผมเองก็เป็นคนนึ่งที่คิดแบบนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พกบัตร จ่ายเงินด้วยบัตร แหม่มันเท่น่าดูเลยนะครับสำหรับคนที่เขามอง อย่างน้อยเราก็ดูเหมือนเป็นคนมีเครดิต เป็นคนมีฐานะไปโดยปริยาย แต่ในทางกลับกันครับมันกลับเพิ่มภาระหนี้สินไปด้วยเหมือนกัน เพราะโดยปกติยอดเงินที่แต่ละบริษัท(บัตรเครดิต) มอบให้นั้นมันมากกว่าเงินเดือนที่เราได้รับหลายเท่านัก เพราะปัญหาก็คือถ้าหากเราใช้บัตรเครดิตแบบเต็มวงเงินในทุกบัตร คุณก็คงจะต้องเลือกที่จะชำระขั้นต่ำกับทุกบัตรเหมือนกัน นั่นก็ทำให้ดอกเบี้ยมันเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีจนกว่าคุณจะชำระหนี้ได้ทั้งหมด อาจใช้วิธีกดจากอีกบัตรมาชำระอีกบัตรนั่นก็อาจเป็นที่มาของการหมุนเงินไม่ทัน เข้าสู่ยุควิกฤตทางการเงินและต้องเอาตัวรอดไปในแต่ละเดือนให้ได้ นั่นหมายถึงการเอาตัวรอด แต่คุณนั้นไม่รอด เพราะมันคือความหายนะทางการเงินดีๆ นี้เอง 6. เอาบัตรเครดิตกดเงินสด คือหายนะดีๆ นี้เอง ถือว่าเป็นก้าวแรกของหายนะทางการเงินอย่างแท้จริง (แต่ใครๆ เขาก็ทำกัน รวมถึงตัวผมด้วย) เพราะการกดเงินสดจากบัตรเครดิตจะคิดค่าธรรมเนียมทันที 3% จากยอดที่คุณกด และ VAT 7% จากยอด 3% นั้น ส่วนการคำนวนดอกเบี้ยก็ยังคำนวนกันคนละแบบคือคิดเป็นรายวัน ยิ่งถ้าคุณชำระเงินคืนช้าเท่าไหร่ อัตราดอกเบี้ยแบบมหาโหดนั้นก็จะตามคุณมาอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าหากคุณชำระเงินขั้นต่ำอยู่ทุกเดือน รับรองดอกเบี้ยจากการกดเงินในครั้งนี้อาจจะเท่ากับเงินต้นเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ขอแนะนำให้กดออกมาใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ ก็เพียงพอ สำหรับยอดเงินที่ไม่มากนัก แต่ถ้าหากต้องใช้เงินจำนวนมากลองมองหาสิ้นเชื่อส่วนบุคคลก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดได้ครับ เห็นไหมล่ะครับว่าการใช้บัตรเครดิตจะให้ดีหรือจะให้เครียดมันขึ้นอยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนดครับ เพื่อไม่ให้เป็นหนี้หัวโตในยุค Covid-19 กำลังระบาดนี้ เงินทองเป็นสิ่งจำเป็นครับ ชีวิตเราต้องดำเนินต่อ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ภาระหนี้สินที่มีอยู่เราก็ยังต้องรับผิดชอบกันต่อไป ช่วยตัวเองครับ ไม่มีใครช่วยเราได้ดีที่สุดเท่ากับเราช่วยตัวเอง เป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คนสู้ๆ ไปด้วยกันครับ ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะเก่งและสามารถประสบผลสำเร็จทางด้านการเงินในอนาคตได้แน่นอนเพราะเราเผชิญกับช่วงที่แย่ที่สุดกันมาแล้ว อนาคตข้างหน้าต้องดีกว่าที่เป็นอยู่แน่นอนครับ.... เครดิตภาพ : เป็นภาพที่ถ่ายเองนำมาตกแต่ง