ชีวิตนักศึกษานั้น แม้จะเป็นช่วงเวลาที่สนุกและมีความสุข แต่ก็แฝงไปด้วยสิ่งล่อลวงมากมาย ที่คอยแวะเวียนมาทดสอบน้ำอดน้ำทนของหนุ่มสาว ผู้เป็นความหวังของพ่อแม่และเป็นอนาคตของประเทศชาติ หากใครจิตใจไม่มั่นคง ไม่แน่วแน่พอ ก็ต้องเจอกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องไขว้เขวออกจากเรื่องเรียน วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปท่องเที่ยวในหัวใจของเหล่านักศึกษา ว่าพวกเขาแบกรับอะไรไว้บ้าง ในช่วงที่แสวงหาความสำเร็จให้กับตัวเอง พร้อมแล้วไปกันเลย ความคาดหวังของครอบครัวนับวันพ่อกับแม่ก็อายุมากขึ้น เรี่ยวแรงก็ถดถอย ลูกจึงเปรียบเสมือนแสงไฟนำทาง ในยามที่พ่อกับแม่แก่เฒ่า หรือบางครอบครัวที่พ่อกับแม่ทำมาหากินด้วยความยากลำบาก ต้องอดมื้อกินมื้อ ก็เลือกที่จะกัดฟันส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ เพราะไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตัวเองความคาดหวังของครอบครัวคือแรงผลักดันชั้นดี ที่คอยส่งเสริมหนุ่มสาววัยเรียน ให้มีความตั้งใจมากขึ้น เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “จะทำอะไร ให้นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่” แต่บางครั้งความคาดหวังที่มากเกินไป ก็กลับกลายเป็นดาบสองคม ที่สร้างแรงกดดันให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล ซึ่งกว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากความคาดหวังนี้ ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีเต็มหนุ่มสาวหลายคนถูกผู้ปกครองทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดที่รุนแรง เพียงเพราะพวกเขาเกรดตก หรือเลือกเรียนในคณะที่ผู้ปกครองไม่ชอบ ความคาดหวังของครอบครัว ควรจะเป็นไปเพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้พวกเขาฮึดสู้ มากกว่าเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปของผู้ปกครองเอง ความคาดหวังที่มากเกินไป ที่พวกเขาแบกรับ ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลา ที่พร้อมจะทำให้ผู้ปกครองผิดหวังได้เช่นกันเหมือนดังเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง ที่มีอาชีพเผาถ่านขาย พวกเขามีลูกชายหนึ่งคน ซึ่งเป็นคนดีและคนขยัน ลูกชายจะพูดเสมอว่า”จะไม่ทิ้งพ่อกับแม่ไปไหน จะเผาถ่านเลี้ยงไปตลอดชีวิต” วันหนึ่งผู้เป็นแม่ได้ทุบไหใส่เงิน แล้วห่อเงินใส่ผ้าให้ลูกชาย พร้อมทั้งขับไล่ลูกชายให้ไปเรียนหนังสือ พ่อของเขาตะโกนขึ้นว่า “ถ้าแกไม่มีปัญญาเรียนจนจบ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” จนหลายปีผ่านไปลูกชายของคนเผาถ่านได้เรียนจนจบและมีหน้าที่การงานที่มั่นคง ลูกชายจึงกลับมารับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย ด้วยความน้อยใจที่เคยถูกแม่ไล่หนี ลูกชายจึงเอ่ยปากถามแม่ว่า “ทำไมถึงไล่ผมหนี แล้วทำไมเอาเงินเก็บทั้งชีวิตให้ผมไปจนหมด” แม่ของเขาร้องไห้พร้อมกับตอบว่า “แม่อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีกว่าพ่อกับแม่” ภาพ : www.pixabay.com อนาคตของตัวเองอนาคต เป็นสิ่งที่คิดถึงทีไร ต้องแอบหวั่นใจทุกครั้ง ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่ทำที่เรียนในวันนี้ จะได้ใช้ในอนาคตหรือเปล่า สำหรับหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย "อนาคตคือภาพที่พวกเขาต้องวาดไว้แล้ว" ตั้งแต่ก่อนก้าวเท้าเข้าสู่รั้วของมหาวิทยาลัย พวกเขาควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน และพร้อมที่จะฝ่าฝันทุกอย่างเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นแต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าทุกคนจะมีเป้าหมายให้กับชีวิตของตัวเอง ผมเฝ้ามองดูการใช้ชีวิตของคนสองกลุ่มนี้ กลุ่มที่มีเป้าหมายและไม่มีเป้าหมาย แล้วผมก็ค้นพบว่า แรงจูงใจในการเรียนของทั้งสองกลุ่มช่างแตกต่างกันเหลือเกินแต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต่างเป็นและรู้สึกเหมือนกัน ก็คือเรื่องความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน ผมจะย้ำเตือนพวกเขาเสมอ ถึงอนาคตที่รออยู่ ผมพูดเสมอว่า “เรียนดีในวันนี้ ใช่ว่าอนาคตจะดี เรียนแย่ในวันนี้ ใช่ว่าอนาคตจะแย่ แต่สิ่งที่จะแย่แน่ ๆ คือการที่วันนี้ไม่ตั้งใจทำอะไรซักอย่างเลย ” ในวันที่พวกเขาเป็นนักเรียน นักศึกษา อนาคตของพวกเขา อยู่ในกำมือตัวเองถึง 50 เปอร์เซ็น อีก 50 เปอร์เซ็น เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่พวกเขาต้องหามาเติมเต็มชีวิตตัวเอง ซึ่งประสบการณ์ชีวิตที่เข้มข้น ล้วนอยู่นอกห้องเรียนคนที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน กลับสามารถที่จะใช้ความหวาดกลัวต่ออนาคต เป็นแรงผลักดันตัวเองให้ขยันมากยิ่งขึ้น แต่กลับนักศึกษาอีกกลุ่ม ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งพวกเขาหวาดกลัวต่ออนาคตเท่าไหร่ พวกเขากลับเลือกที่จะไม่คิดถึงมัน แล้วก็ดำเนินชีวิตตามปกติสุข จนสุดท้ายลงเอยที่การดร็อปเรียน พวกเขาคงลืมไปว่า “อนาคต ก็คือผลผลิตของอดีต” ภาพ : www.pixabay.comฉันรักเธอวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกำลังก้าวไปสู่ผู้ใหญ่ ความรักต่างเพศในวัยนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก แค่วูบเดียวของความรักที่ผิดหวัง อาจนำมาซึ่งการตัดสินใจจบชีวิตได้ง่าย ๆ ผู้ใหญ่บางคนอาจหัวเราะให้กับความรักของหนุ่มสาวในวัยนี้ พร้อมกับบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระอันที่จริงเรื่องความรัก น่าจะเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจ มากกว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านโลกมาแค่ไม่กี่สิบปี พวกเขาอาจตัดสินใจพลาดไปบ้าง ผมเห็นนักศึกษาหลายคนโหยหาความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ จนมันเกินเลย และกลายเป็นว่าพวกเขาหมกมุ่นมากเกินไป สุดท้ายการเรียนก็เริ่มตกวัยเรียนวัยศึกษา ไม่ควรมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการศึกษาเล่าเรียน ความรักก็เช่นกัน รักที่จะก่อเกิดในช่วงที่เป็นนักศึกษานั้น ควรเป็นรักที่เบาใจ และงดงามตามวัย ไม่ควรเกินเลยไปถึงการที่ต้องใช้ชีวิตร่วมห้องเดียวกัน ผมอยากให้นักศึกษาพึงระลึกไว้เลยว่า "ความรักที่ดีจะไม่มีวันทำให้เราเสียน้ำตา" หากวันนี้เป็นครั้งแรกที่เราร้องไห้เพราะความรัก พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สองที่เราร้องไห้เพราะความรัก และก็จะมีครั้งที่สามที่สี่ตามมามีเรื่องเล่าของชายคนหนึ่ง ที่หลงรักหญิงสาวจนหัวปักหัวปำ สาวคนนั้นถามชายหนุ่มว่าเขารักเธอแค่ไหน ชายหนุ่มจึงตอบว่า “เขายอมเป็นปีศาจ ที่อาศัยอยู่ในความมืด ขอแค่ให้เขาได้มองเห็นเธอก็พอ” แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไร้สาระ สิ่งที่เขาพูดออกมา ก็เป็นเพียงแค่ลมปากที่หลอกผู้หญิงไปวัน ๆ เธอจึงหัวเราะและเดินจากไป ชายหนุ่มจึงกระโดดลงหน้าผา เพื่อที่เขาจะได้ตายและกลายเป็นปีศาจ เฝ้ามองคนรักอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล "เขารักเธอมากนะ" ภาพ : www.pixabay.comลองเปิดใจ มองพวกเขาเหล่านักศึกษาในมุมมองที่ต่างออกไป แล้วจะค้นพบความลำบากใจ ความทุกข์ใจ ที่อยู่ในวัยของพวกเขาเอง ผู้ใหญ่หลายคนมองพวกเขาอย่างดูถูก แถมตำหนิ เพราะผู้ใหญ่เหล่านั้นมองแค่เพียงว่า วัยเรียน วัยศึกษา เป็นชีวิตที่สบาย ไม่มีความทุกข์ใด ๆ แถมมีคนหาเงินให้ใช้ ผู้ใหญ่เองก็มีความทุกข์ในแบบฉบับของผู้ใหญ่ นักศึกษาก็มีความทุกข์ในแบบฉบับของนักศึกษา โปรดมองพวกเขาด้วยสายตาที่เข้าใจ และพร้อมที่จะช่วยเหลือ มากกว่าตำหนิ ด่าทอ ภาพปก : www.pixabay.com