วันนี้ฉันมีโอกาสได้ไปไหว้พระที่วัดระฆังมาค่ะ เป็นวัดที่มีบรรยากาศร่มรื่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าใครลงเรือผ่านไปทางโรงพยาบาลศิริราช ก็จะเห็นวัดระฆังค่ะ เพราะอยู่ถัดไปก่อนจะถึงวัดอรุณ ไปวันนี้คนบางตาค่ะ อาจจะเพราะยังอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด นักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยมีเท่าไหร่ คนน้อยดูสงบดีค่ะ เพิ่งเคยเข้าไปครั้งแรกในชีวิต ก็เข้าไปจุดธูปไหว้พระตรงที่เป็นบริเวณนอกอุโบสถด้านหน้า ที่ทางวัดจัดไว้ให้ มีดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้บริการพร้อมค่ะ แล้วก็หยอดเงินทำบุญลงกล่องของทางวัด ไม่ต้องชี้แจงอะไรคนไปไหว้ก็เข้าใจทำได้ตามระเบียบค่ะ สังเกตดูคนที่มาไหว้พระหลาย ๆ คน อธิษฐานกันนานทีเดียว คงจะมีเรื่องทุกข์ใจกันหลายเรื่องนะคะ ส่วนฉันใช้เวลาไม่นานนัก เป็นคนที่ขอพรพระไม่ค่อยเก่งค่ะ นึกไม่ค่อยออกไม่รู้จะขออะไรดี ขอยาว ๆ ก็เกรงใจพระท่านค่ะ หลังจากจุดธูปเทียนไหว้พระเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าไปกราบพระในพระอุโบสถค่ะ พระอุโบสถด้านนอกสวยงามจริง ๆ ทุกกระเบียดนิ้วเลยค่ะ ฝีมือลายไทยละเอียดอ่อนช้อย ปิดทองอย่างปราณีตงดงาม สมแล้วที่เป็นพระอารามหลวงภายในพระอุโบสถมีพระประธานองค์ใหญ่งดงามมาก เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิสีทองอร่ามเรืองรองมากค่ะ ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก หลวงพ่อท่านชื่อหลวงพ่อยิ้มรับฟ้า เป็นชื่อที่ ร.๕ พระราชทานนาม เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก ๓ องค์ นั่งประนมมือเบื้องหน้า เบื้องซ้าย และเบื้องขวา ตามฝาผนังภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมงดงามมากค่ะ ไปเสาะหาข้อมูลมาว่าเป็นฝีมือใคร ก็ทราบชื่อค่ะ เป็นฝีมือของจิตรกรเอกในสมัย ร.๖ ชื่อว่าพระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) ชมแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจสุด ๆเมื่อออกจากพระอุโบสถก็เดินดูรอบบริเวณวัด ก็เห็นพระปรางค์องค์สีขาวสูง มีทรวดทรงสวยงามค่ะ มีช่องเจาะไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปสีทอง ดูเหมือนจะเป็นพระสาวกนะคะ สังเกตจากพระเศียรที่ไม่มียอดแหลมค่ะ มีสีทองอร่ามตัดกับสีขาวของพระปรางค์ดูงดงามมาก ทราบว่าองค์พระปรางค์สร้างในสมัย ร.๑ ค่ะ ก้าวข้ามธรณีประตูวัดออกมาด้านนอกมองทางด้านขวา จะเป็นบริเวณหอระฆังซึ่งจะประดิษฐานระฆัง 5 ลูกที่ ร.๑ ทรงสร้างพระราชทานค่ะ ตรงกลางจะเป็นลูกใหญ่สุดดูโดดเด่นมาก ขนาบด้วยลูกเล็กข้างละ 2 ลูกค่ะ สีทองอร่ามงดงามอีกเช่นเคย เดินย้อนกลับมาฝั่งตรงข้ามจะเป็นลานโล่ง เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนสมเด็จโตห่มจีวรสีน้ำตาลเข้มทั้งองค์ องค์ใหญ่มากค่ะ ในท่านั่งถือพระคัมภีร์สวดพระคาถา ด้านหน้ามีป้ายบทพระคาถาไว้ให้ผู้มากราบไหว้บูชาท่องสวดค่ะ ฉันเห็นคุณป้าที่ดูแลช่วยกันนำดอกไม้มาวางสักการะคนละถังใหญ่ จัดดอกไม้มาในสีน้ำตาล-เหลือง ดูโทนสีกลมกลืนกับสีขององค์หลวงพ่อค่ะ รวม ๆ แล้วดูเข้มขลังเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ลานโล่งกว้างธรรมดา ๆ ใครผ่านไปผ่านมา ต้องเข้าไปกราบไหว้ท่องคาถาบูชาค่ะ ส่วนฉันยืนกราบไหว้อยู่ระยะไกลค่ะไปวัดสำคัญทั้งทีต้องรู้ประวัติให้ลึกซึ้งจัดเต็มกันหน่อย กลับมาก็เลยมาค้นคว้าเพิ่มเติมค่ะ เลยได้ข้อมูลว่า วัดระฆังเป็นวัดหลวงค่ะ ชื่อเต็มว่า วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางหว้าใหญ่ สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงยกให้เป็นพระอารามหลวงเป็นที่ประทับของพระสังฆราช พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งมีเสียงไพเราะมาก ร.๑ รับสั่งให้นำไปไว้ที่วัดพระแก้ว แล้วได้ทรงสร้างระฆังชดเชยพระราชทาน 5 ลูก พร้อมทั้งได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดระฆังโฆสิตาราม แล้วจึงพากันเรียกขานจนติดปากว่า "วัดระฆัง" วัดระฆังแห่งนี้เคยเป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก สมัยกรุงธนบุรีด้วยนะคะ เนื่องจากว่าพระไตรปิฎกฉบับกรุงศรีอยุธยา ถูกข้าศึกเผาทำลายคราวเสียกรุงทั้งหมด พระเจ้าตากสินทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราช มาคัดลอกที่วัดระฆังแห่งนี้แหละค่ะเป็นการไหว้พระแบบทัศนศึกษา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วยนะคะ ได้ทั้งความเป็นสิริมงคล และรู้ความเป็นมาเป็นไปของศาสนสถานอีกด้วย ถ้าคุณผู้อ่านชอบสไตล์นี้เดี๋ยวว่าง ๆ จะไปวัดอื่น ๆ อีกค่ะ กะว่าจะให้ครบ 9 วัดเลยตามธรรมเนียมนิยม ถ้าสนใจก็อย่าลืมติดตามนะคะ ไว้พบกันใหม่ค่ะ**ภาพทุกภาพถ่ายโดยนักเขียน