อื่นๆ
บ้านพัก...ที่ปิดตัวมานาน

บ้านพักที่ปิดตัวมานาน
P. Chaa เขียน
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เราและครอบครัวไปงานซ้อมรับปริญญาของพี่สาว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา
ในตอนแรกครอบครัวเราตั้งใจจะไปเช้าเย็นกลับ เนื่องจากบ้านเราอยู่ จ.นครสวรรค์ ระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพมาก แต่ด้วยความไม่แน่นอนของการจราจรในกรุงเทพ ทำให้รถติดยาวนานกว่า 7 ชั่วโมงตั้งแต่ขามา
เราและครอบครัวมาถึงมหาลัยพี่สาวตอนประมาณบ่าย 3 และปรึกษากันว่าจะนอนค้างที่กรุงเทพในคืนนี้ เนื่องจากพ่อไม่อยากขับรถกลับบ้านในตอนกลางคืน และพวกเราก็ไม่รู้ว่ารถจะติดนานเหมือนเมื่อเช้าหรือเปล่า
พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกตะเวนหาโรงแรมใกล้ๆ มหาลัยพี่สาว แต่ทุกที่เต็มหมดแล้วเพราะวันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่และพรุ่งนี้เป็นวันรับจริง
พวกเราเหนื่อยจากการเดินทางหาโรงแรมมาก จนแม่ถึงกับพูดว่า “จะโรงแรมไหน หรืออะไรก็ได้ขอแค่คืนนี้มีที่ซุกหัวนอนก็พอ”
Advertisement
Advertisement
เวลาประมาณ 2 ทุ่ม เราก็เจอรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากมหาลัยพี่เราพอสมควร แต่รีสอร์ทแห่งนี้ก็บอกเหมือนที่อื่นๆ คือ เต็มแล้ว แม่ของเราถึงกับถอนหายใจด้วยความท้อแท้ และบอกกับพนังงานรีสอร์ทว่า พวกเราหาที่นอนมาหลายชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เหนื่อยเหลือเกิน
แต่พนังงานรีสอร์ทก็ยังยืนยันคำเดิมว่าที่นี้ไม่มีห้องพักเหลือแล้ว
ขณะที่พวกเรากำลังจะกลับไปที่รถเพื่อหาที่ซุกนอนที่อื่นต่อ จู่ๆ พนักงานหญิงกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาบอกว่า “จริงๆ ที่นี่ยังเหลือบ้านพักอยู่หลังหนึ่ง แต่ปิดตัวมานานมากแล้ว คิดว่าจะพักที่บ้านนั้นไหวไหมคะ”
แม่เราได้ยินแบบนั้นก็ตอบตกลงทันที พนักงานหญิงคนนั้นที่พวกเรามารู้ที่หลังว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ท สั่งให้แม่บ้านรีบไปทำความสะอาดบ้านพักหลังนั้น ซึ่งตั้งอยู่หลังสุดท้ายของรีสอร์ท
ขณะที่เจ้าของรีสอร์ทออกคำสั่ง เราสังเกตเห็นว่าแม่บ้านมีอาการหวาดกลัว และตอบกลับเจ้าของรีสอร์ทว่า “จะดีหรือคะ แต่ว่าบ้านหลังนั้นน่ะ...”
Advertisement
Advertisement
แม่บ้านยังพูดไม่จบประโยค เจ้าของรีสอร์ทก็หันไปตะวาดว่า “เดี๋ยวนี้”
เราสามคนเลยนั่งรอที่ห้องรับรองของรีสอร์ท พร้อมกับพยายามถามพนักงานว่าทำไมบ้านหลังนั้นถึงปิดตัวมานาน แต่พนังงานไม่ยอมบอกอะไร
เวลาประมาณ 3 ทุ่ม พวกเราได้เข้าไปพักที่บ้านพักหลังนั้น ซึ่งมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง ห้องนั่งเล่น 1 ห้อง และไฟที่ระเบียงหน้าบ้าน ติดๆ ดับๆ ตลอดเวลา พนักงานบอกว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้เปิดใช้มานานอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เลยเสื่อมสภาพ พร้อมกับกำชับว่า “ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ให้โทรมาแจ้งได้ทันที”
พ่อกับแม่นอนในห้องนอนใหญ่ ส่วนเราจะนอนในห้องนอนเล็ก เราเปิดม่านกับแง้มประตูกระจกตรงระเบียงเพื่อระบายกลิ่นอับ จากนั้นก็ไปอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราก็กลับมาที่ห้องนอน แล้วก็มองไปที่ประตูระเบียงซึ่งเป็นกระจกใสทะลุไปที่บ้านพักอีกหลังซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่ระเบียงบ้านหลังนั้นมีคนนั่งพักอยู่และพวกเขามองเราด้วยความสนใจ
Advertisement
Advertisement
เราเริ่มรู้สึกกลัว เลยเดินไปที่ประตูระเบียงที่เปิดแง้มไว้เพื่อจะปิดมัน แต่แล้วเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 5-6 ขวบ ในบ้านหลังตรงข้ามนั้นก็ตะโกนผ่านระเบียงออกมา “ทำไมขึ้นไปกระโดดบนเตียงอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวเตียงก็หักหรอก”
เราตกใจ เหมือนกับผู้ใหญ่ในบ้านหลังนั้น แม่ของเด็กคนนั้นรีบขอโทษเราว่า “ขอโทษค่ะ เขายังเด็ก เวลาเขาเห็นคนทำอะไรแปลกๆ เขาก็จะชอบทักไปเรื่อย ขอโทษนะคะ”
เราตกใจสิ่งที่คนพวกนั้นพูด เลยเปิดประตูแล้วเดินไปที่ระเบียง เพื่อให้เข้าใกล้บ้านหลังนั้นให้มากที่สุด แล้วถามพวกเขาว่า “ขอโทษนะคะ เมื่อกี่เห็นอะไรหรอคะ”
แม่ของเด็กคนนั้นรีบขอโทษเราอีก เขาคงคิดว่าเราจะเข้าไปหาเรื่อง แต่เด็กน้อยบอกว่า “ก็พี่ผู้ชายคนนั้นยืนกระโดดบนเตียง แล้วก็พี่คนโน้นเอาหัวกระแทกตู้เสื้อผ้าตลอด”
แล้วเด็กน้อยก็ชี้มาที่ห้องเรา ทว่าตำแหน่งที่ชี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันคือเตียงนอนกับตู้เสื้อผ้า
เราขนลุกเกลียวไปทั้งตัวด้วยความหนาวสั่น คุณแม่ของน้องคนนั้นรีบขอโทษเราและพาน้องคนนั้นเข้าไปในบ้านพักของพวกเขา เราเลยรีบกลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูระเบียง แล้ววิ่งไปหาพ่อกับแม่ที่อยู่อีกห้องทันที
เรารีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง ทั้งสองตกใจโดยเฉพาะแม่ซึ่งกลัวเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แม่บอกให้เรานอนในห้องนอนใหญ่ห้องเดียวกับพ่อแม่
พวกเราสามคนสวดมนต์และแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร จู่ๆ ไฟที่ระเบียงหน้าบ้านซึ่งติดๆ ดับๆ ตลอดเวลาก็สว่างไสวเหมือนมันไม่เคยเสียมาก่อน และผ้าม่านก็สะบัดไปมาทั้งๆ ที่ในห้องนอนไม่มีลมพัด
แม่เอาผ้าห่มมาปูที่พื้นข้างเตียงให้เรา ตอนแรกแม่จะให้เรานอนบนโซฟาที่อยู่ติดกับหน้าต่าง แต่โซฟาอันนั้นมันค่อนข้างเล็ก เราลองนอนแล้วไม่ถนัดเลยขอนอนที่พื้นข้างเตียงดีกว่า
ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง พวกเราปิดไฟเข้านอน แต่เรานอนไม่หลับ เรารู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองเราตลอดเวลา และไฟที่ระเบียงหน้าบ้านก็กลับมาติดๆ ดับๆ เหมือนเดิมอีกครั้ง
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน เราตัดสินใจลุกขึ้นไปนอนบนโซฟาที่ติดอยู่กับหน้าต่าง หลังจากที่พยายามข่มตานอนมาตลอด 2 ชั่วโมง แต่นอนไม่หลับ
เรานอนบนโซฟาที่ค่อนข้างเล็ก นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาห้องนอน แล้วมองแสงไฟที่ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบกับพื้นห้อง
แล้วเราก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นเงาคนสะท้อนอยู่บนพื้นห้อง เรารีบหันหน้าไปทางหน้าต่างตรงตำแหน่งที่ควรจะมีคนยืนอยู่ แต่ด้านนอกหน้าต่างนั้น..ว่างเปล่า
เราหันกลับมามองพื้นห้องที่จุดเดิมอีกครั้ง แสงไฟด้านนอกกระพริบไปมา และตรงนั้นยังมีเงาคนอยู่
Photo credit : https://pxhere.com
เราขนลุกไปทั้งตัว เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้านนอกหน้าต่างไม่มีคนยืนอยู่ แต่แสงไฟที่ส่องกระทบพื้นดันมีเงาคน ซึ่งเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ตาฝาดไป
เราพยายามตั้งสติลุกขึ้นนั่งและกำลังจะเดินไปที่เตียงนอนเพื่อปลุกพ่อ แต่แล้วเราก็ดันไปเห็นประตูตู้เสื้อผ้าที่สั่นไปมา พร้อมกับมีเสียงดัง “กึก กึก” เหมือนมีอะไรกระแทกมันอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่มีเสียงดัง “กึก” ตู้เสื้อผ้าจะแง้มออกประมาณ 1 เซน และตอนนี้มันค่อยๆ กางออกมามากขึ้นตามเสียง “กึก กึก กึก” ที่ดังไม่หยุด
เรามองดูประตูตู้ที่กางออกมาเลื่อยๆ ตามจังหวะเสียง “กึก” แล้วก็แทบจะกรีดร้องออกมา เมื่อเห็นสิ่งที่เหมือนคนอยู่ในตู้เสื้อผ้าพยายามเอาหัวตัวเองกระแทกกับประตูตู้เพื่อให้มันเปิดออก
Photo credit https://board.postjung.com/908033
เราช็อคจนกรีดร้องออกมาไม่มีเสียง โชคดีที่โซฟาอยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนของพ่อกับแม่ เราเลยพุ่งตัวเข้าไปหาพ่อ พยายามเขย่าตัวพ่อสุดแรง เนื่องจากช็อคจนไม่มีเสียงจะเรียก
พ่อตื่นมาในขณะที่เรารีบชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า ซึ่งเปิดกว้างจนเห็นผ้าที่แขวนอยู่ด้านใน แต่ตอนนี้ไม่มีเสียง “กึก” หรือสิ่งที่ดูคล้ายมนุษย์แล้ว
พ่อจับตัวเราที่สั่นไม่หยุดแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเปิดโคมไฟที่หัวเตียงให้สว่างพอจะเห็นหน้าเราได้ แต่ไม่สว่างจนเกินไปจนแม่ตื่น
เราตั้งสติอยู่นานแล้วค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟัง พ่อฟังจบก็รับโทรหาพนังงานรีสอร์ท แล้วบอกให้มาหาพวกเราเดี๋ยวนี้
ไม่นานนักพนักงานรีสอร์ท 2 คนก็มาที่บ้านพักของเรา พ่อเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เราเจอเด็กข้างห้องจนถึงตอนนี้ให้พนักงานฟัง และพวกเขาไม่มีท่าทีตกใจเท่าไหร่ เหมือนว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่ามันอาจจะเกิดขึ้น
พนักงานบอกว่าบ้านพักหลังนี้เคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมมาก่อน แต่ไม่ขอเล่ารายละเอียดให้ฟัง เพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงของรีสอร์ท พร้อมกับบอกว่าเราสามารถ Check out ตอนนี้ได้เลยหากต้องการ และทางรีสอร์ทจะคืนค่าที่พักให้ทั้งหมด
เรากับพ่อปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดี ตอนนี้เวลาเกือบตี 2 แล้ว และแม่เรายังคงหลับอยู่ ถ้า Check out ออกตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปพักที่ไหน เลยบอกกับพนักงานว่าพวกเราจะพักที่นี้ แต่มีข้อแม้ว่าพนักงานต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วย เพราะอย่างน้อยถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก พวกเราก็ไม่ต้องแก้ปัญหากันเอง
เราตัดสินใจนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกับพนักงานรีสอร์ททั้งสองคน เพราะคิดว่าคงนอนไม่หลับแล้ว ส่วนพ่อกลับเข้าไปนอนในห้องนอนกับแม่ แล้วเปิดโคมไฟหัวเตียงไว้ตลอดเวลา พร้อมกับแง้มประตูห้องนอนไว้ เพื่อที่เราและพนังงานจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนได้
ในห้องนั่งเล่นของบ้านพัก เราพยายามหว่านล้อมให้พนักงานบอกเรื่องราวเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้น แต่พนังงานยังคงบ่ายเบี่ยง พวกเขาบอกว่าจะมอบเงินค่าทำขวัญให้ แต่ขอให้เราไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปใคร เพราะกลัวรีสอร์ทจะเสียชื่อเสียง
จวบจนเวลาเกือบตี 5 เรากับพนังงานรีสอร์ททั้ง 2 ไม่ได้นอนกันเลย พวกเราพยายามหาเรื่องคุยไปต่างๆ นานา และเล่นเกมออนไลน์ฆ่าเวลาไปบ้าง
เวลาประมาณ 6 โมง พระอาทิตย์ฉายแสงสว่างไปทั่วทุกที่ ปัดไล่ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกไป พนังงานทั้ง 2 คนเลยขอตัวกลับไป และส่งแม่บ้านมาอยู่เป็นเพื่อนเราพร้อมกับทำความสะอาดบ้านพักไปด้วย
เราเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่บ้านฟังและคะยั้นคะยอให้แม่บ้านเล่าเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้นให้ฟังบ้าง
แม่บ้านเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนบ้านพักแห่งนี้เคยมีคู้รักคู้หนึ่งมาพัก พวกเขาจองรีสอร์ทไว้ 2 คืน ในคืนแรกพวกเขามีปากเสียงกัน ผู้ชายพลาดพลั้งทำลายผู้หญิงจนสลบไป ผู้ชายคิดว่าผู้หญิงเสียชีวิตแล้วจึงมัดศพไว้ในผ้าห่มแล้วนำไปซ้อนไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ผูกคอตายในห้องนอนเล็ก ส่วนผู้หญิงผลชันสูตรศพบอกว่าเสียชีวิตในคืนที่สอง สาเหตุจากการพยายามเอาหัวกระแทกประตูตู้เสื้อผ้าให้เปิดออก
เวลาประมาณ 7 โมงเช้า พวกเราสามคนพ่อแม่ลูก Check out ออกจากรีสอร์ท และเดินทางกลับบ้าน โดยที่เรากับพ่อตกลงกันว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับแม่ เนื่องจากแม่เป็นคนที่กลัวเรื่องลี้ลับเป็นอย่างมาก
แต่แล้วจู่ๆ แม่ก็พูดกับเราขึ้นมาว่า “เมื่อคืนแม่ฝันน่ากลัวมาก แม่ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกขังไว้ในตู้เสื้อผ้า เธอพยายามหาทางหนี แต่ทำไม่ได้ เธอตายอยู่ในตู้นั้น”
เรากับพ่อมองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เราไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่รู้ แต่แม่กลับฝันถึงมัน แถมเป็นความฝันที่เกิดขึ้นจริงๆ กับคนที่เสียชีวิตในบ้านพักหลังนั้น
พ่อเลยชวนเรากับแม่แวะทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างเดินทางกลับบ้าน เราทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณผู้หญิงและผู้ชายในบ้านหลังนั้น หวังว่าพวกเขาจะได้ไปเกิดใหม่ในภพชาติที่ดีและไม่ต้องวนเวียนอยู่ในบ้านพักหลังนั้นอีกต่อไป
และหวังว่าบ้านพักหลังนั้น จะไม่มีใครได้เข้าไปพักอีก..ตลอดไป
ความคิดเห็น
