อื่นๆ
พระใหม่

สมัยที่ผมบวชนั้น ผมเลือกบวชวัดใกล้บ้าน เพื่อจะได้สะดวกพ่อแม่ในการมาทำบุญกับพระใหม่ ด้วยความที่บ้านผมอยู่ในเมือง วัดที่บวชก็เลยเป็นวัดในเมืองไปด้วย รายล้อมด้วยอาคารบ้านเรือน และชุมชนชาวบ้าน บรรยากาศวุ่นวายพอดู ไม่ได้มีความน่ากลัวสักเท่าไหร่
แต่ก็ยังมีบางมุมของวัด ที่ค่อนข้างเปลี่ยว และทางวัดไม่ได้ติดไฟไว้ ทำให้ตอนกลางคืนจะมืดมาก หนึ่งในนั้นคือกำแพงบริเวณหลังวัด ซึ่งเป็นที่ๆทางวัดจัดไว้สำหรับใส่ให้ญาติๆนำกระดูกผู้วายชนม์มาใส่ไว้ในกำแพง
ผมในฐานะพระใหม่ ถูกจัดให้อยู่ในกุฏิติดกับกำแพงนี้ นอกจากจะมืดเปลี่ยวแล้ว ยังมีหลุมฝังศพของคนเชื้อสายจีนอยู่หน้ากุฏิอีกต่างหากหลวงพี่จัดให้ผมอยู่ในกุฏินี้ เพราะพิจารณาแล้วน่าจะเป็นคนจิตแข็งที่สุดในบรรดาพระใหม่ทั้งหมด ผมก็เข้าไปอยู่โดยไม่ได้อิดออดอะไร สามสัปดาห์แรก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมใช้ชีวิตพระใหม่ไปตามปกติ แต่ยอมรับว่าไม่ได้เคร่งอะไรมาก ตามประสาวัยรุ่นสมัยใหม่ ที่ไม่ได้ศรัทธาในศาสนาเท่าไหร่นัก จนกระทั่งสัปดาห์สุดท้ายของการบวช ในคืนนั้นเป็นคืนที่มืดสนิท และเงียบสงัด ผมจำวัดแต่หัวค่ำตามปกติ
Advertisement
Advertisement
ในตอนที่รู้สึกตัวตื่น เวลาดีกเท่าไหร่แล้วผมไม่รู้เลย ที่รับรู้คือ ร่างกายผมขยับไม่ได้ แขนหนักเป็นหิน พยายามจะอ้าปากตะโกน ก็ไม่มีเสียงหลุดออกมา อาการแบบนี้เรียกว่าผีอำ ผมรู้ดี มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าเกิดจากการที่ร่างกายเลยสั่งให้เป็นอัมพาตเฉียบพลันทั้ง ๆ ที่มีสติอยู่ ผมเป็นบ่อยๆ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรผมเคยอ่านมาว่า อย่าดิ้น ให้ค่อยๆกระดิกนิ้วมือ แล้วจะหลุดจากอาการผีอำเองทำแบบนั้น ทำให้ผมหลุดได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ กระดิกเท่าไหร่ ผมก็ยังตัวแข็งทื่อ เวลาผ่านไปเรื่อยๆเหมือนนานเป็นชั่วโมง
“ปังๆๆๆๆๆๆ”
เสียงดังจากบนหลังคา เหมือนมีก้อนหินกระทบหลังคารัวๆ ทำเอาผมใจหายวาบ
“มึงเก่งนักใช่มั้ย”
เสียงกระซิบข้างหู ทำเอาผมตัวเย็นวาบ สติหลุดกระเจิง หมดมาดคนไม่กลัวผีไปเสียสิ้น ผมดิ้นสุดแรง จนในที่สุดก็หลุด แล้วรีบวิ่งจีวรปลิวไปหาพระอาจารย์ ขอนอนด้วยกับท่านในคืนนั้น
Advertisement
Advertisement
“เอ็งไม่ได้เจอเป็นคนแรกที่กุฏินั้นหรอก ทุกคนก็เจอทั้งนั้น ก็รอดูอยู่ว่าเมื่อไหร่เอ็งจะเจอสักที”
พระอาจารย์บอกกับผมอย่างนั้น
ความคิดเห็น
