ไลฟ์แฮ็ก
อยู่บ้านนาน เลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลอย่างไร ... ให้มีความสุข
_1.png)
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลให้สถานศึกษายกเลิกการเรียนการสอนช่วงซัมเมอร์ และเลื่อนการเปิดภาคเรียนไปเป็นเดือนกรกฎาคม โดยเด็กจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเป็นหลักตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ดี ในช่วงปิดเทอมยาว ๆ สำหรับเด็กยุคดิจิทัล ไม่จำเป็นว่าพ่อแม่จะต้องใช้สื่อดิจิทัลเป็นหลักในการเลี้ยงลูกเสมอไป หากแต่การเลี้ยงลูกต้องมีความสมดุล ระหว่างพ่อแม่ที่มีตัวตน และสื่อดิจิทัลที่เหมาะสมกับช่วงวัยและปลอดภัยสำหรับลูกด้วยนะคะ
สำหรับการอยู่บ้านของลูกชาย ซึ่งเป็นเด็กปฐมวัย เป็นการอยู่บ้านที่มีความสุขและสนุกสนานมากค่ะ เพราะแม่ได้มีโอกาสทำงานที่บ้านอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ ที่บ้านยังมีคุณยาย พ่อ และแมว 2 ตัวอยู่ร่วมบ้านด้วย ทำให้แต่ละวันของลูกชายจึงมีแต่กิจกรรมสนุกสนาน และลูกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์ตรงด้วย ซึ่งการเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้นั้น ทำได้ไม่ยาก และไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นอกจาก “เวลา” นะคะ ซึ่งเรามีคำแนะนำดี ๆ ในการเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลให้มีความสุข ดังนี้นะคะ
Advertisement
Advertisement
1. ทำความรู้จักกับลูกของเรา การที่เรารู้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร จะทำให้เราจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการเล่นที่เหมาะสมให้กับลูกได้ นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ให้น่าเบื่อ พ่อแม่ต้องมีลูกเล่น และสอดแทรกความสนุกสนานเข้าไปด้วย เพราะเมื่อสมองของลูกแจ่มใส ลูกจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี และมีความสุขกับการเรียนรู้ด้วย อย่างเช่น ลูกชอบระบายสี ก็เตรียมชุดระบายสีให้ลูกได้ระบายสีได้อย่างอิสระ ไม่กำกับว่าลูกต้องวาดรูปอะไร หรือระบายสีอะไร ลูกชอบต่อจิ๊กซอว์ ก็จัดเตรียมพื้นที่ในการเล่น และช่วยกันเล่นอย่างสนุกสนาน ลูกชอบอ่านหนังสือ จับลูกนั่งตักแล้วอ่านหนังสือด้วยกัน เล่าเรื่องอย่างสนุกสนาน จะทำให้การอ่านหนังสือไม่น่าเบื่อ และจะทำให้ลูกรักการอ่านด้วยนะคะ หรือรู้ว่าลูกไม่ชอบลูกโป่ง ก็จัดกิจกรรมที่มีลูกโป่งเป็นประกอบ ค่อย ๆ ใส่เข้าไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้ลูกเกิดความคุ้นเคย และไม่กลัวในที่สุด โดยที่ผ่านมา เราเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม หากลูกกลัวหรือไม่ชอบอะไร ก็จะพยายามพาลูกหนี หรือเลี่ยงจากสิ่งนั้น จนกระทั่งได้รับคำแนะนำจากคุณครูว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ลูกไม่สามารถเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้เราจึงสอนให้ลูกรู้จักการค่อย ๆ เผชิญกับสิ่งที่กลัว และใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ โดยมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียง และให้กำลังใจข้างเสมอ
Advertisement
Advertisement
2. สอนลูกให้รู้จักดูแลตนเอง และช่วยเหลืองานบ้าน เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราได้อยู่กับลูกตลอด 24 ชั่วโมง ในโอกาสนี้ เราจึงมีเวลาสอนและทบทวนการดูแลตัวเองซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของการดำเนินชีวิตของลูก เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม แต่งตัว นั่งชักโครก ล้างก้น ล้างมือ ฯลฯ ซึ่งหากสิ่งใดที่ลูกยังทำได้ไม่คล่อง ก็จะช่วยแนะนำและสอนลูก ฝึกกันทุกวัน จนตอนนี้ลูกชายเราล้างมือ 7 ขั้นตอนเก่งมากเลยนะคะ นอกจากการสอนให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองแล้ว เรายังสอนให้ลูกรู้จักช่วยงานบ้าน ซึ่งเป้าหมายในการให้ลูกทำงานบ้าน ไม่ใช่เรื่องความสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังสอดแทรกเรื่องของการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ หน้าที่ความรับผิดชอบต่องานบ้านที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ หนังสือของจิตแพทย์เด็กส่วนใหญ่จะแนะนำให้ฝึกเด็กช่วยเหลืองานบ้านตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อเด็กจะได้ไม่อิดออดเวลาที่พ่อแม่ให้ช่วยเหลืองานบ้าน อีกทั้งการให้เด็กฝึกทำงานบ้านยังช่วยให้เด็กรู้จักการวางแผน เช่น ล้างจานอย่างไรให้สะอาด คว่ำจานอย่างไรให้แห้ง รวมทั้งช่วยให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง โดยช่วยกันทำงานบ้านให้เสร็จ แล้วค่อยไปเล่นต่อ ซึ่งการรู้จักควบคุมตัวเองเป็นพื้นฐานของความยับยั้งชั่งใจ รู้ผิดชอบชั่วดีนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ การฝึกให้ลูกทำงานโดยไม่รู้สึกเบื่อ พ่อแม่ต้องสร้างบรรยากาศและความรู้สึกสนุกสนานด้วยนะคะ ซึ่งลูกชายชอบล้างจาน และรดน้ำต้นไม้มาก ๆ เพราะทำแล้วเปียก ทำแล้วสนุก ทำแล้วพ่อแม่ชื่นชมในความพยายาม รวมทั้งสามารถเรียกใช้ให้ช่วยหยิบของในขณะที่ยังเลยสนุกอยู่ได้ โดยไม่มีท่าทีหงุดหงิดหรืออิดออด นั่นเพราะเราฝึกกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ
Advertisement
Advertisement
3. สอนลูกให้รู้ใช้จักเทคโนโลยี เทคโนโลยีไม่ได้จำกัดเฉพาะสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเท่านั้นนะคะ หากแต่หลายสิ่งในบ้านของเราทุกคนต่างก็มีเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตอยู่กันแน่นอน เช่น เครื่องฟอกอากาศ เราสอนลูกให้ใช้งานอยู่ถูกวิธี ปุ่มแต่ละอย่างทำหน้าที่อะไร และมีความหมายว่าอย่างไร หากมีสัญญาณเตือนปรากฏขึ้น ก็บอกให้พ่อแม่รู้ด้วย เพื่อจะได้ล้างทำความสะอาด เครื่องไมโครเวฟ เราสอนลูกใช้งาน อธิบายฉลากข้อควรระวังที่แปะไว้บนเครื่อง รวมทั้งอธิบายหลักการทำงานซึ่งเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือทีวีจอตู้เครื่องเก่า หลังจากติดตั้งกล่อง TrueID TV ก็กลายเป็น Android TV ซึ่งเราใช้เป็นสื่อเสริมในการเรียนรู้ของลูกบางช่วงเวลา ทั้งนี้ เรากับลูกจะนั่งดู YouTube ด้วยกัน โดยเปิดโอกาสให้ลูกเลือกหัวข้อการเรียนรู้ และแม่เป็นคนถือรีโมทกดเลือกให้ ซึ่งช่องที่ลูกชอบดูที่สุด คือ ชีวิตสดใส / Bright Side Thai และ TopSib Thailand ซึ่งเป็นช่องการเรียนรู้จากสิ่งรอบ ๆ ตัว รวมทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอมพิวเตอร์ เราอนุญาตให้ลูกใช้งานได้เพื่อการเรียนออนไลน์ DLTV มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมฯ ในส่วนของสมาร์ทโฟนลูกชายของเราไม่มีโอกาสได้สัมผัส เพราะเราใช้ Nokia 3310 ในการโทรเข้าโทรออก และมี iPad เครื่องเก่าไว้ติดต่องาน และอนุญาตให้ลูกดูแอปฯ ที่เหมาะสมกับช่วงวัย ซึ่งเป็นแอปฯ ที่ได้ความรู้และสนุกสนานอย่าง Khan Academy Kids
ในยุคดิจิทัล แม้เราจะเลี้ยงลูกได้สะดวกและง่ายขึ้นก็จริง แต่ลูกยังคงต้องการพ่อแม่ที่มีตัวตนอยู่เสมอ ลูกต้องการอ้อมกอด และวงแขนของพ่อแม่ที่จะจูงมือพาเขาเล่นสนุกสนานเพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ดังนั้น ในช่วงอยู่บ้านนาน ๆ อย่าลืมรักษาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการเลี้ยงลูก เพราะหากเราสามารถรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ได้ พ่อแม่มีความสุข ลูกก็มีความสุขเช่นกันค่ะ
- ภาพประกอบโดยผู้เขียน
- อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เรื่อง กิจกรรมสำหรับเด็กเล็ก ในช่วงปิดเมืองและปิดเทอม
ความคิดเห็น
