ท่อนที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วจากผลงานเพลงของ Lil Nas X & Billy Ray Cyrus ใคร ๆ ก็น่าจะพองึมงำ ๆ หรือร้องได้เลยกับท่อนนี้ ฮ่า ๆ แต่คนไทยเราเอาเพลงเขามาปรับเป็นเพลงแดนซ์ได้เฉยเลยซะงั้น โดยเรียกเป็น เทคมาโฮ.... อะทีนี้เรามาดูกันชัด ๆ ว่าจริง ๆ มันคืออะไร มา = My ให้อภัยได้เอออย่างน้อยมันก็มี มอ ม้า เหมือนกัน มา กะ มาย อย่างน้อยมันก็มี มอม้าโฮ = Horse (ม้า) บางคนเข้าใจผิดได้เลยกับตรงนี้ร้องเป็น Home บ้าง หรือทับไปเลยคือ โฮ แต่จริง ๆ มันคือ Horse จ่ะ Horse (ฮอร์ส) เพี้ยนได้อีกต่อมาเราจะมาดูความหมายทางปรัชญาที่ตัวเพลงบอกเล่าผ่านทาง MV และผ่านจากทางการสัมภาษณ์ ผ่านทาง Lil Nas X เองก็ดีหรือจะ Billy Ray Cyrus เอง เกี่ยวกับเนื้อหาของท่องเพลงท่อนนี้และบางส่วนผมเติมเข้าไปให้ความหมายมันเข้าใจง่ายขึ้นโดยตัวเพลงนั้นพยายามสื่อถึงการที่เราพยายามจะทำอะไรสักอย่างผ่านเส้นทางที่เราชื่นชอบและยังคงทำต่อไปบนความชอบ ถึงแม้มันจะดูเหมือนไม่มีความหมาย แต่ถ้าเราชอบก็จงทำต่อไปและทำให้ดีที่สุด สักวันมันจะตอบแทนเราเองถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เช่น ผมอยากเป็นนักเขียน แต่จับผมไปเป็นนักแสดงเล่นหนัง มันก็ไม่ใช่ ทาง Lil Nas เองเขาก็เล่าชีวิตเขาว่าเขานั้น พ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่เขา 6 ขวบ เลือกที่จะไม่เรียนต่อตอนช่วงมหาวิทยาลัย และออกมาเดินทางตามเส้นทางของตัวเองคือการออกมาเป็นแรปเปอร์และนักแต่งเพลง แต่ในตอนนั้นเหมือนการตัดสินใจ เขาไม่ได้การยอมรับมากนักจากทางครอบครัว เขาจึงเปรียบตัวเองเหมือนคาวบอยที่ขี่ม้าอย่างโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่เขาเลือกนั่นคือการเป็นแรปเปอร์ สุดท้ายเพลงที่เขาแต่งกับติด บิลบอร์ดชาร์ต ในลำดับที่ 83 ด้วยอายุเพียงแค่ 20 ปี เท่านั้น ชีวิตเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงแค่นำเอาเรื่องราวจริงของเขามาประยุกต์ใช้เข้ากับกระแสเทรนด์แฟชั่นต่าง ๆในปี 2019 ที่เทียบให้เห็นการล้อเลียนเป็นโดยนัยกับวัฒนธรรมคาวบอยในปี 1889 ซึ่งถ้าดูที่ MV และความหมายของเพลงนั้นก็ชัดเจนเลยทีเดียวว่าเขาต้องการจะสื่อว่า ถึงแม้จะผ่านมา 130 ปี แล้วก็ตามการการเป็น Cowboy แบบขี่ม้าไปในเมืองในปี 2019 นั้นเท่จัด ๆ มันย้อนแย้งอย่างเห็นได้ชัดว่า มันควรจะเป็นของเก่าไปแล้ว ล้าสมัย แต่คนเราในปี 2019 อย่างเรา ๆ นั้นกลับมองว่ามันมีความเก๋าและขลังค์ในตัว และมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่ในนั้นซึ่งก็เหมือนกับวงการเพลงแรปเปอร์ที่เพิ่งมาบูมมาก ๆ ในพักหลัง ๆ เพิ่งไม่นาน ทั้ง ๆ ที่เรามีเพลงสไตล์นี้มานานมากแล้ว ซึ่ง Lil Nas เองยังกล่าวอีกว่าตัวเขานั้นจะยังคงเดินยึดตามเส้นทางสายแรปเปอร์และนักแต่งเพลงไปจนกว่าเขาจะทำไม่ไหว หรือหลอดเสียงเขาจะขาดใช้การไม่ได้ หรือมือขาดจนเขียนเพลงไม่ได้ เพราะเพลงที่เขาแต่งแต่ละเพลงนั้นมาจากความชอบและใช้ความสามารถเอามาก ๆ ในการคิดแต่ละท่อนของเพลง ทุกครั้งที่ผมฟังเพลง Old Town Road นั้นความรู้สึกแรกจากการที่นำเอา Billy Ray มาร้องในท่อนแรกของเพลงเลยนั้นความเป็นเอกลักษณ์ของเสียงนั้นชัดเจนทีเดียว และยังเข้ากับเพลงอีกตรงที่ Billy Ray นั้นเป็นนักร้องมากว่า 27 ปีจากผลงานเพลงที่ติดหู Achy Breaky Heart ที่ติด Top 100 หลายชาร์ตเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นเพลงของเขาก็ไม่ได้มีเพลงไหนฮิตเป็นพิเศษอีกเลย จนมาวันนี้เขาได้กลับสู่ Old Town Road ของเขาคือการได้กลับมาติด Top 100 ในบิลบอร์ดชาร์ตอีกครั้ง และดังเป็นพลุแตกรู้จักไปทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะแก่แล้วหรือยังหนุ่มอยู่ หากเดินตามทางที่ตัวเองชอบจนสุดความสามารถและไม่ยอมแพ้แล้ว สักวันนึงจะมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำเอง Yeah, I'm gonna take my horse to the old town road I'm gonna ride 'til I can't no moreเพลงนี้ได้เอาไปใช้ประกอบหนังเรื่อง "แรมโบ้ 5 นักรบคนสุดท้าย" ด้วยนะตัวเพลงนั้นสื่อความหมายได้ตรงกับแรมโบ้พอสมควรถึงแม้จะไม่ทั้งหมดก็เถอะชีวิต ให้ตายเถอะนี่แค่ความหมายจากเพียงแค่ส่วนเดียวของเพลง ยังลึกซึ้งขนาดนี้