หากพูดถึงชื่อผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลีวูดที่เป็นที่รู้จัก และยอมรับในวงกว้างในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับชาวอังกฤษที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ และวิสัยทัศน์อันโดดเด่น ในการทำหนังที่ซับซ้อน ลุ้นระทึก บทหนังที่เข้มข้น และสะท้อนจิตใจตัวละครได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่เน้นความสมจริง แทบไม่มีการใช้ CGI หรือ Green Screen จนทำให้เขาสร้างผลงานชั้นเยี่ยมจนกลายเป็นที่พูดถึงมาจนทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Memento ,The Dark Knight และ Inception และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนชมผลงานล่าสุดของ โนแลน อย่าง Tenet ที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนสิงหาคมนี้ บทความนี้จึงจะขอพาทุกคนไปร่วมย้อนดูผลงานที่ผ่านมาของเขา ว่าหนังแต่ละเรื่องมีอะไรบ้าง และมีความโดดเด่น น่าสนใจอย่างไรบ้าง 1. Following(1998)เรื่องราวของ นักเขียนหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่องใหม่ของเขา โดยเขาได้ใช้วิธีการสะกดรอยตามชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เพื่อสำรวจวิถีชีวิตของคน ๆ นั้น แต่ทว่าเขาดันถูกจับได้ซะก่อน ทำให้เขาต้องทำความรู้จักกับชายคนดังกล่าวแบบไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะพบว่าแท้จริงแล้วชายคนดังกล่าว เป็นขโมย ที่ชอบแอบเข้าไปในบ้านของคนอื่น แต่เขาจะไม่ขโมยเงิน หรือของมีค่าของเจ้าของบ้าน แต่จะเป็นการเข้าไปสำรวจชีวิต ของเจ้าของบ้านหลังนั้น ๆ ทำให้หนุ่มนักเขียน ได้ถลำลึกเข้าไปยังโลกอาชญากรรม ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลFollowing เป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกในชีวิตของ โนแลน ที่เขารับหน้าที่ทั้ง กำกับ เขียนบท กำกับภาพ และร่วมตัดต่อด้วยตัวเอง โดยหนังใช้ทุนสร้างเพียง 6,000 เหรียญฯ เท่านั้น โดยความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ คือการสร้างลายเซ็นสำคัญให้กับงานของเขา ด้วยการนำเสนอเรื่องราวโลกอาชญากรรม การสำรวจจิตใจของตัวละคร รวมทั้งการดำเนินเรื่องสลับซับซ้อน พร้อมบทสรุปที่เกินคาดเดา นอกจากนี้หนังยังเลือกที่จะเล่าเรื่องในรูปแบบหนังสีขาวดำ ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้หนังมีการให้กลิ่นอายของหนังอาชญากรรม ระทึกขวัญ ยุคคลาสสิก อย่างงานของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ทำให้ทุกวันนี้ หากมีการจัดอันดับหนังอาชญากรรมที่ไม่ควรพลาด Following มักจะติดอันดับหนึ่งในนั้นมาจนถึงทุกวันนี้2. Memento(2000)เลโอนาร์ด(กาย เพียร์ช) ชายหนุ่มที่คนรักถูกฆ่าตายอย่างปริศนา ทำให้เขาต้องกลับมาตามหาว่า ใครที่เป็นคนฆ่าคนรักของเขา และความจริงของเรื่องราวทั้งหมด แต่อุปสรรคสำคัญของ เลโอนาร์ด คือสมองของเขาจะสูญเสียความทรงจำใหม่ ๆ ตลอดเวลา ทำให้เขาต้องใช้วิธีถ่ายภาพ และสักเบาะแสสำคัญต่าง ๆ ไว้บนลำตัว เพื่อให้ตนเองยังสามารถจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ หาก Following เป็นหนังที่แจ้งเกิด โนแลน ในฐานะคนทำหนังยาว Memento ก็คืองานที่สร้างชื่อสำคัญให้กับเขา ในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ ที่น่าจับตาที่สุดในขณะนั้น โดยเรื่องนี้ โนแลน ได้ดัดแปลงบทมาจากเรื่องสั้นของ โจนาธาน โนแลน น้องชายของเขา ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ เป็นหนังอาชญากรรม ที่นำเสนอเรื่องราวผ่านจิตวิทยาของตัวละคร เลโอนาร์ด ที่เป็นแกนกลางของหนังเรื่องนี้ พร้อมทั้งหนังได้เล่นท่ายาก ด้วยการเล่าเรื่องแบบย้อนหลัง คือการนำเสนอบทสรุปก่อน แล้วค่อย ๆ ย้อนเหตุการณ์มายังจุดเริ่มต้นของเรื่องราว เพื่อให้คนดูได้รู้สึกเหมือนว่าสูญเสียความทรงจำ เช่นเดียวกับตัวเอกของเรื่อง ทุกวันนี้ Memento ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งในผลงานขึ้นชื่อของ โนแลน เท่านั้น แต่มันยังเป็นหนังจิตวิทยา ระทึกขวัญ ชั้นดี ที่คอหนังทุกคนควรดูสักครั้งหนึ่ง3. Insomnia(2002)เรื่องราวของ วิล ดอร์เมอร์(อัล ปาชิโน) นายตำรวจสืบสวนที่จากแอลเอ ที่เขาและคู่หู ได้เดินทางมายังเมืองทางตอนเหนือ เพื่อทำการสืบคดีฆาตกรรมในเมืองดังกล่าว แต่ทว่าการสถานการณ์การสืบสวนกลับเลวร้ายลงไปอีก เมื่อระหว่างที่จะจับคนร้าย วิล ดันพลั้งมือฆ่าคู่หูของเขา พร้อมทั้งโดน วอลเตอร์ ฟินซ์(โรบิน วิลเลี่ยม) คนร้ายตัวจริงของคดีดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมแบล็คเมลล์ เขาด้วยการขู่จะแฉความจริงทั้งหมด ทำให้ วิล ต้องเผชิญกับความเครียดอย่างหนักจนป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ(Insomnia) พร้อมต้องร่วมกับ เอลลี่ เบอร์(ฮิลารี่ สแวงค์) ตำรวจสาวไฟแรงที่มีเขาเป็นไอด้อล ที่เธอหารู้ไม่ว่า วิลเองก็ได้เป็นผู้ต้องคนสำคัญของคดีนี้เช่นกันสำหรับ Insomnia ถือว่าเป็นผลงานเรื่องแรกที่ โนแลน ได้ร่วมงานกับค่ายหนังคู่บุญอย่าง Warner Bros. และเป็นหนังแมสเรื่องแรกของเขา หนังดัดแปลงมาจากหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 1997 โดยหนังก็ได้สามนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง อัล ปาชิโน จาก Scent of a Woman ,โรบิน วิลเลี่ยม จาก Good Will Hunting) และฮิลารี่ สแวงค์ จาก Million Dollar Baby ความสนุกของหนังเรื่องนี้ คือการได้ชมสงครามจิตวิทยาระหว่าง นักสืบ และฆาตกร ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้น ชวนติดตาม พร้อมการแสดงของ ปาชิโน ที่เล่นบทคนนอนไม่หลับ ออกมาได้สมจริงมาก ๆ ใครที่อยากเห็นสามนักแสดงระดับเอลิสต์ มาประชันบทบาทกัน เรื่องนี้ไม่ควรพลาด4. Batman Begin (2005)บรูซ เวยน์(คริสเตียน เบลล์) ชายหนุ่มมหาเศรษฐี ที่สูญเสีย พ่อและแม่ของเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก จากอาชญากรคนหนึ่งที่เข้ามาปล้นเงิน เมื่อเติบโตขึ้น บรูซ ก็ได้พบว่า เมืองกอธแธม ที่เขาอยู่นั้น เต็มไปด้วยอาชญากรรม และความรุนแรงมากมาย ทำให้หลังจากนั้น บรูซ ในวัยหนุ่มก็ได้ตัดสินใจออกจากเมือง เพื่อเดินทางไปฝึกวิชา หาประสบการณ์กับ ราส อัลกูล ตำหนักฝึกวิชาบนเขาที่่ห่างไกล เพื่อกลับไปใช้ปกป้องเมืองของเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของอัศวินรัตติกาล นาม แบทแมนหนังจุดเริ่มต้นไตรภาคแบทแมน ฉบับของ โนแลน ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ อัศวินรัตติกาล ด้วยโทนเรื่องที่ออกมาเป็นหนังอาชญากรรม มากกว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ หรือหนังแอคชั่นทั่วไป พร้อมทั้ง โนแลน ก็ยังถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้น่าติดตาม และเหนือชั้นไม่แพ้ผลงานก่อนหน้า แม้ว่าหนังจะค่อนข้างออกมาสูตรสำเร็จก็ตาม นอกจากนี้นี่ยังเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างผู้กำกับมือทอง และ ไมเคิล เคน นักแสดงคู่บุญของเขา ที่หลังจากหนังเรื่องนี้ เคน จะได้ร่วมแสดงในหนังของ โนแลน ทุกเรื่องจนเป็นอีกหนึ่งจุดขาย ของงาน โนแลน ยุคหลัง ๆ ไปโดยปริยาย 5. The Prestige (2006)เรื่องราวในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ของสงครามระหว่างสองนักมายากลอย่าง โรเบิร์ต แองกิเออร์(ฮิวจ์ แจ็คแมน) และอัลเฟร็ด บอร์เดน(คริสเตียน เบล) ที่ทั้งคู่เคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ที่มีอาจารย์คือ คัตเตอร์(ไมเคิล เคน) โดยสงครามเริ่มขึ้นเมื่อ บอร์เดน ที่ต้องการสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับมายากลของ คัตเตอร์ ทำให้เกิดความผิดพลาดจนทำให้คนรักของ แองกิเออร์ ต้องตาย ทั้งสองจึงแตกกัน และต่างคนก็พยายามสร้างสรรค์กลใหม่ ๆ ที่จะปฏิวัติวงการ และมีการแก้แค้นกันและกันที่แต่ละครั้งยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ คริสโตเฟอร์ พริสต์ ซึ่งหากไม่นับ The Dark Knight Trilogy สำหรับ The Prestige นับว่าเป็นผลงานเรื่องแรก และเรื่องเดียวของ โนแลน ที่ดัดแปลงมาจากนิยาย และยังเป็นเรื่องแรกที่เขาได้ โจนาธาน โนแลน น้องชายของเขามารับหน้าที่เขียนบทอีกด้วย โดยแม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นหนังแอคชั่น หรือมีฉากโชว์งานโปรดักชั่นอลังการ แต่สำหรับ The Prestige เป็นหนังแนวสงครามจิตวิทยาที่เข้มข้น ชวนติดตาม ความน่าสนใจของหนังคือการพาคนดูไปพบกับเบื้องหลังวงการมายากล และทริคต่าง ๆ ที่ชวนเซอร์ไพรส์ ประกอบกับการแสดงของสองนักแสดงนำอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน และคริสเตียนเบล ที่ต่างถ่ายทอดบทบาทแบบที่ไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีเด็ดช่วงท้ายของหนังกับประโยคที่พูดว่า "ไม่มีใครสนใจคนที่อยู่ในกล่อง" ที่นอกจากจะสะท้อนสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังทำเอาคนดูอึ้งไปตาม ๆ กัน6.The Dark Knight (2008)หลังจากที่ บรูซ เวยน์(คริสเตียน เบลล์) ได้กลายเป็นแบทแมน และปกป้องเมืองกอทแธม อย่างเต็มตัว เขาก็คอยจัดการกับเหล่าอาชญากรในเมืองนี้แม้ว่าจะถูกตำรวจ หมายหัวไปด้วยก็ตาม โดยเป้าหมายใหม่ของ แบทแมน คือการตามล่าตัว โจ๊กเกอร์ อาชญากรอัจฉริยะ ผู้อยู่เบื้องหลังการจราจลทั่วทั้งเมือง ในขณะเดียวกัน กอธแธม ก็ได้มี ฮาร์วีย์ เดนท์ อัยการไฟแรงผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ที่ตัว บรูซ เองเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถเป็นฮีโร่คนใหม่ของกอทแธม แทนที่แบทแมน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่ากำลังได้ตกเป็นเป้าหมายสำคัญของ โจ๊กเกอร์ โดยไม่รู้ตัวหากให้พูดถึงงานที่เป็นมาสเตอร์พีซที่สุดของ โนแลน หนังเรื่องนี้จะต้องถูกพูดถึงเป็นอันดับแรก ๆ อย่างแน่นอน และทุกวันนี้หนังเรื่องนี้ก็เป็นทั้งหนังแบทแมน และหนังอาชญากรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกเรื่อง ที่โลกใบนี้มีมา หนังมาพร้อมโทนเรื่องที่มืดหม่น จริงจัง โดยเฉพาะการพาคนดูไปพบกับความดำมืดของเมืองกอทแธม หนังเรื่องนี้ก็สามารถถ่ายทอดออกมาชัดเจนกว่าภาคที่แล้วมาก และสิ่งที่แบกหนังเกือบทั้งเรื่องไว้คือการแสดงครั้งสุดท้ายในชีวิคของ ฮีท เลทเจอร์ ในบทโจ๊กเกอร์ ที่ถ่ายทอดความวิปลาส ความคลั่ง และความเป็นอัจฉริยะของวายร้ายผู้นี้ออกมาได้อย่างทรงพลัง หนังสามารถคว้ามาได้ถึง 2 รางวัลออสการ์ได้แก่ นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม (ฮีท เลทเจอร์) และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม(ริชาร์ด คิง) 7. Inception (2010)เรื่องราวของกลุ่มนักจารกรรมที่นำทีมโดย คอบบ์(ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ) โดยการจารกรรมของพวกเขานั้นไม่ใช่เป็นการขโมยเงิน หรือสิ่งของมีค่าแต่อย่างใด แต่งานของพวกเขาคือการขโมยความคิด ด้วยการเข้าไปในความฝันของเป้าหมาย เมื่อวันหนึ่ง คอบบ์และทีมได้รับมอบหมายจาก ไซโตะ(เคน วาตานาเบะ) ที่ต้องการให้เขาเข้าไปฝังความคิดให้กับ ลูกชายของเจ้าของบริษัทคู่แข่ง ให้ล้มเลิกการรับช่วงต่อธุรกิจของพ่อ ซึ่งวิธีการที่จะบรรลุภารกิจครั้งนี้ได้ พวกเขาจะต้องแฝงเข้าไปในความฝัน ซ้อนความฝัน 3 ชั้นด้วยกัน หรือที่เรียกว่า อินเซปชั่น ภารกิจนี้ คอบบ์ จึงต้องรวบรวมมือดีในแต่ละด้าน เพื่อทำงานให้สำเร็จลุล่วงหลังจากที่ โนแลน ได้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ทั้งรายได้และคำวิจารณ์จาก The Dark Knight ในผลงานถัดมาอย่าง Inception ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์อีกครั้ง โดยหนังเรื่องนี้ได้เป็นการผสมผสานระหว่างหนังอาชญากรรม และหนังไซไฟสุดล้ำ ที่ โนแลน ได้สร้างสรรค์ฉากแอคชั่นในความฝันออกมาได้ตระการตา พร้อมความเหนือชั้นด้วยการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนสไตล์ โนแลน จนทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังแอคชั่น ไซไฟ ที่แปลกตากว่าเรื่องอื่น ๆ ด้วยความโดดเด่นนี้เองทำให้ Inception สามารถคว้าไปได้ถึง 4 รางวัลออสการ์ ได้แก่ กำกับภาพยอดเยี่ยม ,ผสมเสียงยอดเยี่ยม ,ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม8. The Dark Knight Rises (2012)เนื้อหาจะว่าด้วยเหตุการณ์หลายปีหลังจากที่ แบทแมน สามารถกำจัด โจ๊กเกอร์ และ 2 Face พร้อมช่วยเหลือผู้คนในเมืองได้สำเร็จ แต่ต้องแลกมาด้วยการที่ อัศวินรัตติกาล ต้องกลายมาเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวเมืองแทน ทำให้ บรูซ เวยน์ ตัดสินใจหยุดทำหน้าที่เป็นฮีโร่ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งได้เกิดจารกรรมครั้งใหม่จากวายร้ายคนใหม่อย่าง เบน(ทอม ฮาร์ดี้) ที่ได้ทำการเตรียมยึดเมืองกอทแธม มาเป็นของตน ทำให้ บรูซ เวยน์ ต้องกลับมารับหน้าที่ แบทแมน อีกเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมเผชิญหน้ากับคู่ปรับที่แข็งแกร่ง และอันตรายยิ่งกว่าเดิมหนังภาคสุดท้ายของแบทแมน ฉบับโนแลน ที่ปิดฉากได้อย่างยิ่งใหญ่ และสวยงามสมการรอคอย แม้ความคมคาย ความแปลกใหม่ของเนื้อหาจะไม่ได้โดดเด่นเท่ากับ The Dark Knight แต่ด้วยทุนสร้างที่สูงถึง 250 ล้านเหรียญฯ ที่สูงที่สุดในทั้งสามภาค ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถถ่ายทอดฉากถล่มเมือง ฉากสงครามกลางเมืองระหว่างตำรวจ และอาชญากร ออกมาได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะฉากไฮไลท์เด็ดของหนังอย่างฉากปล้นเครื่องบิน และฉากระเบิดสนามกีฬา ที่ โนแลนลงทุนถ่ายทำโดยใช้เครื่องบิน และระเบิดจริง ๆ ไม่พึ่ง CGI ทำให่หนังยิ่งใหญ่สมกับเป็นภาคสุดท้าย พร้อมทั้งการแสดงของ ทอม ฮาร์ดี้ ที่สลัดภาพจำ ด้วยการโกนหัว เพิ่มน้ำหนักจนกลายเป็นวายร้ายผู้น่าเกรงขาม ที่ช่วยสร้างสีสันให้หนังภาคสุดท้ายให้เข้มข้นไม่แพ้ภาคก่อน ๆ 9. Interstellar (2014)เรื่องราวของโลกอนาคตเมื่อโลกกำลังพบกับวิกฤตเมื่อได้เกิด โรคพืช ระบาดไปทั่วทุกที่ ทำให้พืชพรรณต่าง ๆ ค่อย ๆ ล้มตาย คูเปอร์ (แมทธิว แมคกอนนาเฮย์) อดีตนักบิน NASA ที่ได้รับการติดต่อจากสถานีลับของ NASA ที่นำทีมโดย ศาสตราจารย์ จอห์น แบรนต์(ไมเคิล เคน) ที่วางแผนส่งทีมเดินทางขึ้นไปยังอวกาศ เพื่อทางดาวดวงใหม่เพื่อที่จะให้มนุษย์สามาถไปอาศัยอยู่ได้ นอกจากนี้การเดินทางในครั้งนี้ ยังใช้ทฤษฎี รูหนอน เพื่อพิสูจน์ว่าจะสามารถข้ามมิติตามที่คาดการณ์ไว้ได้หรือไม่ ในขณะที่ด้าน คูเปอร์เองก็ค่อย ๆ พบว่าการเดินทางครั้งนี้จะพรากเขาจากครอบครัวไปตลอดกาลหลังจากที่คุ้นเคยกับลายเซ็นที่เป็นหนังอาชญากรรม จิตวิทยามาโดยตลอด สำหรับ Interstellar เป็นหนังที่ฉีกแนวไปจากหนังเรื่องก่อน ๆ ด้วยการเป็นหนังแนวไซไฟ อวกาศ อย่างเต็มตัวหลังจากก่อนหน้านี้ใน Inception โนแลน ได้โชว์สกิลสร้างงาน ไซไฟ แบบพอหอมปากหอมคอมาแล้ว ในเรื่องนี้เขาได้เขียนบทคู่กับ โจนาธาน โนแลน ผู้เป็นน้องชาย พร้อมได้คำปรึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านจักรวาล เพื่อทำให้เขาสามารถถ่ายทอดการผจญภัยในอวกาศ ออกมาได้สมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โนแลน ยังได้ใช้วิธีการถ่ายทำด้วยระบบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร และใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำ เพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ ตระการตาให้กับหนัง อย่างไรก็ตามหนังเรื่องนี้ก็ถูกยกว่าเป็นหนังที่ดูเข้าใจยากที่สุดของ โนแลน ด้วยการอิงทฤษฎีต่าง ๆ ที่หากใครไม่ใช่สายหนังไซไฟ อาจงงกับบทสนทนาในหนัง รวมทั้งการสับขาหลอกคนดูในช่วงท้าย ที่ทำออกมาได้ลึกล้ำ และเหนือชั้นอย่างยอดเยี่ยม 10. Dunkirk (2017)จากเหตุการณ์จริงของ ยุทธการณ์ดังเคิร์ค หนึ่งในยุทธการสำคัญของสงครามโลกครั้งที่่ 2 เมื่อทหารอังกฤษนับแสนคน ติดอยู่ในวงล้อมของฝั่งศัตรูบนอ่าวดังเคิร์ค พวกเขาทำได้เพียงรอความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งหนังได้เล่าเหตุการณ์ผ่าน 3 มุมมอง 3 ช่วงเวลา ได้แก่ บนบก ทะเล และอากาศ หลังจากที่เมื่อปี 2014 โนแลน ได้เริ่มฉีกแนวหันมาทำหนังไซไฟเต็มตัวเป็นครั้งแรก Dunkirk เป็นผลงานถัดมาที่ฉีกกรอบที่ผ่านมาของเขา โดยครั้งนี้เป็นการสร้างหนังสงครามเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งหนังเรื่องนี้ยังไม่มีตัวเอกที่ชัดเจนของเรื่อง ความโดดเด่นที่ทำให้ Dunkirk ต่างจากหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่น ๆ คือการที่โนแลน เล่าเหตุการณ์ผ่าน 3 มุมมอง 3 ช่วงเวลา โดยตัดสลับฉากไปมาตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้โนแลน ยังใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำมากถึง 70% ของเรื่อง เพื่อถ่ายทอดภาพมุมกว้างของสงคราม และการเอาชีวิตรอดของเหล่าตัวละครได้เต็มตามากยิ่งขึ้น 11. Tenet(2020)ผลงานล่าสุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่เต็มไปด้วยความลับ และความท้าทายยิ่งกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา เพราะจนถึงวันที่บทความนี้ได้เผยแพร่ มีตัวอย่างหนังถึงสองตัวให้ได้ชม และหนังกำลังจะฉายอยู่ในเร็ว ๆ นี้ ก็ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องใด ๆ ของหนังออกมาให้คนดูได้ทราบ สิ่งที่พอรู้เกี่ยวกับหนังเบื้องต้นมีดังนี้- เป็นหนังจารกรรม ผสมไซไฟ แบบเดียวกับ Inception- ภารกิจของตัวเอกของเรื่องสำคัญ และหากทำไม่สำเร็จอาจทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 - หนังมีฉากแอคชั่น ที่ใช้วิธีการย้อนหลังกลับ แบบการกลอฉากย้อนไปข้างหน้า- ไม่ใช่หนังย้อนเวลาสำหรับความน่าสนใจด้านอื่น ๆ ของหนัง ก็ได้แก่ การทุ่มทุนสร้างของ Warner Bros. ที่หนังใช้ทุนรวม ๆ ถึง 250 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดของผลงาน โนแลน ทั้งหมด พร้อมใช้สถานที่ถ่ายทำกว่า 7 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้หนังยังได้สามนักแสดงนำที่มาร่วมงานกับผู้กำกับมากฝีมือผู้นี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต แพตทินสัน ,จอห์น เดวิด วอชิงตัน และอลิซาเบธ เดบิคกิ พร้อมได้เจ้าเก่าอย่าง เคเนธ บรานาห์ ที่พึ่งร่วมงานใน Dunkirk และไมเคิล เคน กลับมาร่วมสมทบเหมือนเดิม ที่สำคัญที่สุดคือผลงานนี้เป็นอีกครั้งที่ โนแลน ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX พร้อมการันตีว่า การจะชม Tenet ให้ได้อรรถรส ควรชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ดังนั้นใครที่เป็นแฟนหนังของ โนแลน เตรียมพบกับหนังฟอร์มยักษ์ครั้งสำคัญ จนถูกยกว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดในปี 2020 ในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ทั้งระบบปกติ และจอ IMAX Cr. ภาพ หน้าปก1 หน้าปก2 / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10 / 11 สำหรับใครที่เป็นแฟนคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่อ่านบทความนี้แล้วถูกใจ ทางผู้เขียนก็ได้มีกิจกรรมพิเศษด้วยการแจกโค้ดสำหรับช็อปแอ้ป Wemall มูลค่า 200 บาท จำนวน 3 รางวัลด้วยกัน โดยกติกาการร่วมสนุกมีดังนี้1) แชร์บทความนี้ออกไปยังเฟสบุ้คของคุณ พร้อมตั้งเป็นสาธารณะ 2) ใส่ แฮชแทก ในโพสต์ที่แชร์ว่า คุณชอบหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่องไหนมากที่สุด เพราะอะไร เหตุผลใครโดนใจ 3 อันดับแรก ได้รางวัลไปเลย Code Wemall ท่านละ 200 บาท เงื่อนไข:ระยะเวลาในการเข้าร่วมสนุกกิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม - 31 กรกฎาคม 63 เวลา 12.00ทาง In-Trend Influencer จะทำการประกาศชื่อบุคคลที่ได้รับของรางวัล 3 ชื่อ ในวันที่ 30 มิ.ย.63 เวลา 18.00 น. โดยการคอมเมนต์รายชื่อผู้ชนะผ่านทางโพสต์ที่ประกาศเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมบน Facebook ของ In-Trend Influencer สำหรับผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม หากคุณเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล Code ส่วนลด Wemall ทาง In-Trend Influencer จะทำการติดต่อคุณไปยัง inbox ทาง Facebook เพื่อสอบถาม ชื่อและอีเมล ของคุณ เพื่อให้ทีมงานส่ง Code Wemall ไปให้ตามอีเมลที่ระบุไว้ Code Wemall จะถูกทำการส่งไปยังอีเมลของผู้ชนะ 3 ท่านภายใน 7 วันทำการ ภายหลังจากที่ทาง In-Trend Influencer ได้ทำการประกาศผู้ที่ได้รับรางวัลในส่วนของการคัดเลือกผู้ชนะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความในการคัดเลือกเท่านั้น ทางทีมงาน TrueID In-Trend ไม่มีส่วนในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับของรางวัล Code Wemall แต่อย่างใด