ไลฟ์แฮ็ก
11 หนทางสู่การเป็นคนที่มีความสุข

สวัสดีคุณผู้อ่านครับ คุณกำลังรู้สึกไม่มีความสุขอยู่หรือเปล่าครับ ชีวิตของเรานั้นมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปนะครับ บางช่วงก็สุขมากและบางช่วงก็ทุกข์มาก แต่นั่นแหละครับคือชีวิต หากคุณกำลังรู้สึกเครียด รู้สึกกังวลหรือรู้สึกทุกข์ ในบทความนี้ความนี้มีเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านมีความสุขมากขึ้นและอาจมีความทุกข์น้อยลงครับ บางทีเคล็ดลับเหล่านี้อาจเปลี่ยนชีวิตคุณก็ได้ครับ
ภาพโดย Ben White
1. พิชิตความกังวล
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ใจเราไม่เป็นสุขก็คือความกังวลนี่แหละครับ และการจะเอาชนะความกังวลได้นั้นคุณจำเป็นต้องมี “แรงบรรดาลใจ”
หากคุณมีหลายสิ่งที่กังวล ลองค่อย ๆ กำจัดมันไปทีละอย่างก็ได้ครับ บางทีคุณอาจกังวลเกี่ยวกับการเจอเพื่อนใหม่ ๆ บางทีคุณอาจจะกังวลที่จะต้องคุยกับคนเยอะ ๆ บางทีคุณอาจกังวลที่ต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ บางทีคุณอาจกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ บางทีคุณอาจจะกังวลว่าจะตกงาน การจะพิชิตความกังวลเหล่านี้คุณต้องมีเป้าหมายก่อน ตั้งเป้าหมายและตั้งรางวัลตอบแทนให้ตัวเองเมื่อทำสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จ
Advertisement
Advertisement
ซึ่งผมไม่ได้จะบอกว่าความกังวลเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีเลยนะครับ เพียงแต่ผมอยากเตือนไว้นิดนึงว่าเรากังวลในสิ่งที่เราควบคุมมันได้ก็พอ สิ่งที่นอกเหนือการควบคุมนั้นหากเราทำอะไรไม่ได้ก็ทำใจให้สบาย ๆ แล้วเผื่อใจเอาไว้ก็พอครับ
2. กำหนดเวลาการนอน
บางทีคุณอาจคิดว่าการนอนของคุณนั้นดีแล้ว แต่ผมอยากให้ลองดูดี ๆ ครับว่าคุณได้รับชั่วโมงการนอนที่มีประสิทธิภาพหรือยัง ? หรือ คุณรักษาเวลานอนค่อนข้างเหมือนกันทุกคืนหรือไม่ ?
การนอนหลับแบบมีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ การอดนอนเรื้อรังเป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานหนัก เพียงแค่นอนไม่พอสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเป็นประจำอาจก็สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจและสุขภาพร่างกายของคุณแล้ว ฉะนั้นการจะทำให้สมองของคุณไม่เครียดและลดความวิตกกังวล คุณควรจะกำหนดเวลานอนให้เพียงพอและตรงเวลาเดิมในทุกวัน หากคุณมีนิสัยเสียชอบทำนู่นทำนี่ก่อนนอนจนเลยเวลานอน ผมขอแนะนำว่าลองพยายามเข้านอนก่อนเวลาที่ตั้งไว้สักครึ่งชั่วโมง
Advertisement
Advertisement
ภาพโดย Alberto Casetta
3. ใช้เวลานอกบ้านสัก 10 นาที
ลองออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง ใช้เวลาในช่วงพักกลางวันหรือช่วงเช้าในระหว่างดื่มกาแฟก็ยังดี หรือสำหรับบางคนที่อาจจะวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอยู่แล้ว ผมขอแนะนำว่าควรจะลองเปลี่ยนจากการวิ่งในฟิตเนสมาวิ่งในสวนดูครับ ควรจะเดินเล่นหรือวิ่งในพื้นที่ที่มีสีเขียวหรือจำพวกสวนสาธารณะเพราะธรรมชาติสีเขียวมันจะสามารถทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นและบรรเทาความวิตกกังวลด้วยเวลาเพียงแค่ 10 นาที
4. ฝึกการบริหารสติอย่างสม่ำเสมอ
หลายคนมักใช้เวลาในแต่ละวันกังวลไปกับอนาคตหรือครุ่นคิดเกี่ยวกับอดีต แล้วก็จะพลาดกับความสุขที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน บางคนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่า 'ตอนนี้มือของตัวเองวางอยู่ตรงไหน' หากผมไม่ถามถึง
สิ่งที่คุณควรทำก็คือ “จงมีสติอยู่กับปัจจุบัน” ในแต่ละวันนั้นให้คุณลองใช้เวลาสักห้านาทีเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณและสังเกตว่าคุณรู้สึกอย่างไร ดังนี้
Advertisement
Advertisement
- ห้าสิ่งที่คุณได้เห็น
- สี่สิ่งที่คุณได้สัมผัส
- สามสิ่งที่คุณได้ยิน
- สองสิ่งที่คุณได้กลิ่น และ
- หนึ่งสิ่งที่คุณได้ลิ้มรส
คุณอาจไม่จำเป็นต้องสังเกตจากสิ่งใกล้ ๆ รอบข้างก็ได้ หากคุณจะสังเกตจากสิ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องตั้งข้อสังเกตกับตัวคุณเองว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับ เช่น รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเบื่อ หรือรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งนั้น ซึ่งนี่เป็นเพียงวิธีการอยู่กับปัจจุบันเพียงเล็กน้อยโดยหากใครอยากรู้วิธีที่หลากหลายกว่านี้ผมขอแนะนำให้ลองศึกษาการ “Grounding exercises” ครับ
ภาพโดย Priscilla Du Preez
5. พูดสิ่งดี ๆ เพื่อตัวเอง
การพูดที่คุณได้ยินในแต่ละวันนั้นมีผลโดยตรงต่อความคิดของคุณ ฉะนั้นถ้าหากคุณอยากให้คุณคิดแต่เรื่องดี ๆ ก็จงพูดแต่เรื่องดี ๆ
แทนที่จะเอาแต่พูดในเชิงลบเสมอ ผมขอแนะนำให้คุณปรับบทสนทนาของคุณให้เป็นเชิงบวก ตัวอย่างเช่นแทนที่จะพูดว่า 'ถ้าฉันได้งานนั้น' เปลี่ยนเป็น 'เมื่อฉันได้งานนั้น' การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการใช้ภาษาที่เป็นบวกจะช่วยเปลี่ยนความคิดของคุณเป็นบวกด้วย
นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มความคิดเชิงบวกในแต่ละวันโดยการยืนหน้ากระจกและพูดหนึ่งสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับตัวเองในทุกเช้า มันอาจจะเขินหน่อยแต่มันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีมากขึ้น
6. เลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วล่ะครับว่าสิ่งใดที่ไม่ดีต่อทั้งจิตใจและสุขภาพร่างกายของเรา คุณสามารถระงับสิ่งนั้นได้ด้วยการลดพวกมันลงหรือเลิกมันให้หมดซะ อย่างเช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือการดื่มคาเฟอีนมากเกินไป แม้ว่ามันอาจดูไม่ได้ส่งผลโดยตรงแต่ผมรับรองว่ามันจะส่งผลในระยะยาวแน่ ๆ
ภาพโดย bruce mars
7. หากิจกรรมการออกกำลังกายที่คุณรัก
การออกกำลังกายนั้นมีผลอย่างมากต่อสุขภาพจิต การวิจัยหลายแห่งก็ยืนยันการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยแก้ปัญหาอาการซึมเศร้าได้
ผมขอแนะนำว่าควรออกกำลังอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับการจัดการกับอารมณ์และลดระดับความเครียด
ซึ่งสิ่งสำคัญคือคุณควรจะหากิจกรรมการออกกำลังกายที่คุณชื่นชอบมันจริง ๆ ไม่ว่าจะด้านศิลปะการต่อสู้ การวิ่ง หรือการยกน้ำหนัก จงดูให้แน่ใจว่ามันเป็นกิจกรรมที่คุณสนุกกับมันและไม่ทำให้คุณไม่เลิกทำมันได้ง่าย ๆ
8. นั่งสมาธิ
สำหรับผู้ที่มีอาการเครียดผมขอแนะนำว่าควรจะลองทำสมาธิ การทำสมาธิและฝึกจิตจะมีผลดีในระยะยาว ซึ่งผมขอแนะนำว่าควรทำสัก 30 นาทีต่อวันและแบ่งออกเป็นตอนเช้าและเย็น
ซึ่งการนั่งสมาธินั้นจะทำให้คุณสามารถโฟกัสกับการทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ช่วยให้คุณรู้ใจตนเอง ช่วยให้คุณมีความจำที่ดีขึ้นและทำให้สมรรถภาพทางจิตของคุณสูง
ภาพโดย Tamarcus Brown
9. อ่านหนังสือ
ผมคิดว่าเราควรจะลองอ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มเกี่ยวกับคนที่คุณชื่นชมและดูว่าเขามีวิธีรับมือกับการดิ้นรนในชีวิตของเขาอย่างไร
มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตคนอื่น คุณจะได้รับเคล็ดลับและแรงบันดาลใจมากมายในหนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือบันทึกความทรงจำ หรือหนังสือคำแนะนำวิธีการต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งผมก็มีหนังสือที่ผมได้อ่านเมื่อไม่ผ่านมานี้นั่นคือ "สิ่งสำคัญของชีวิต" และ "สิ่งสำคัญของหัวใจ" โดยนิ้วกลม หนังสือทั้งสองเล่มเป็นการถ่ายทอดบทสนทนาที่คุณนิ้วกลมได้ไปพูดคุยกับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายสองคน ซึ่งผมขอแนะนำให้อ่านอย่างมาก เพราะในบทสนทนาเหล่านั้นเต็มไปด้วยคำแนะนำในการชีวิตและบริหารจิตใจให้สุขสงบ ซึ่งผมอ่านแล้วได้อะไรจากหนังสือสองเล่มนี้เยอะมาก ๆ
10. ลดการใช้โซเชียลมีเดีย
บ่อยครั้งที่เราส่องดูชีวิตผู้คนบนโซเชียลมีเดียมันมักจะนำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่เพียงพอในชีวิตของตัวเรา นั่นแสดงให้เห็นว่าการใช้เวลากับโลกออนไลน์มากเกินไปเชื่อมโยงกับสุขภาพจิต
เมื่อคุณเห็นชีวิตคนอื่นบนโซเชียล คุณอาจมีความคิดที่ว่าชีวิตของพวกเขาดีจังเลยพวกเขาต้องมีความสุขมาก ๆ แน่เลย ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คนเรานั้นมีความสุข-ความทุกข์กันคนละเรื่อง และสิ่งที่คุณเห็นบนโซเชียลมันเป็นเพียงสิ่งที่เขาต้องการให้เราเห็นเท่านั้น พวกเขาไม่ค่อยที่จะให้เราเห็นด้านทุกข์ของเขาหรอกครับ หากเราสามารถรู้ทั้งด้านสุขและทุกข์ของเขาได้ คุณจะรู้ว่าจริง ๆ แล้ว 'ชีวิตเราก็ไม่แย่นักหรอก'
ภาพโดย Anthony Tran
11. อนุญาติให้ตัวเองเศร้า
บางครั้งคุณอาจกดดันตัวเองมากเกินไปจนไม่อนุญาติให้ตัวเองร้องไห้เลย ซึ่งรู้ไหมครับว่าจริง ๆ แล้วตามธรรมชาติการร้องไห้มันคือการบำบัดของตัวเรา มันทั้งช่วยระบายความเครียดและผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเรา
ฉะนั้นมันไม่เป็นไรเลยหากคุณจะร้องไห้บ้างก็ได้ ร้องไห้จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นนั่นแหละ จงโอบกอดช่วงเวลาที่คุณรู้สึกผิดหวัง โกรธ หรือเศร้าแทนที่จะพยายามเร่งให้มันผ่านไปโดย
ความคิดเห็น
