กล่าวได้ว่าสถานการณ์ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นปีค่อนข้างมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในประเทศ นอกประเทศ รวมถึงปัญหาที่เป็นกันทั่วโลกในตอนนี้ เราจะมาพูดถึงปัญหาที่ทั่วโลกให้ความสนใจเช่นเรื่องของสถานการณ์โรคระบาดใหญ่โควิด-19 ครั้งนี้ เราจะไม่พูดถึงที่มาของโรคนี้เพราะคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ที่มากันไปแล้ว และส่วนตัวคิดว่าเรามา ร่วมกันรับผิดชอบแก้ปัญหาดีกว่ามานั่งหาคนผิดนะคะ ช่วยความรับผิดชอบต่อสังคม อย่าลืมว่าเราอยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ๆ ไม่ได้อยู่ในสังคมตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบคือจิตสำนึก ควรสำนึกว่าเราต้องอยู่ในสังคมแห่งนี้อีกนาน ในช่วงที่เหตุการณ์นี้ระบาดหนักกันทั่วโลก ช่วงนั้นเราเรียนอยู่ต่างประเทศซึ่งแน่นอนว่าทุกคนกลัวกันหมด โดยเฉพาะคนเรียนนอกอย่างเรา ถามว่าอยากกลับไทยไหมแน่นอนว่าอยากกลับ แต่ตอนนั้นในประเทศที่เราไปเรียนต่อนั้นยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งล่วงเลยไปประมาณ 2-3 เดือนไปแล้วกว่าจะเจอผู้ป่วยรายแรก เลยคิดว่าประเทศเขาน่าจะเอาอยู่ หากประเทศนี้เจอเหตุการณ์ครั้งนี้เขาน่าจะจัดการได้ไม่มีปัญหา แต่โควิดก็คือโควิด ยายตัวร้ายที่เป็นปัญหากันทั่วโลกที่ไม่เคยปราณีใครก็มาถึงประเทศนี้ ซึ่งมาทั้งทีก็ไม่รอให้เตรียมใจกันบ้างเลย ปัจจุบันในประเทศนี้พบผู้ป่วยโดยประมาณแล้ว 480000 กว่าคน และผู้ป่วยที่เสียชีวิตประมาณ 15000 กว่าคน โดยเฉลี่ยแล้วพบผู้ป่วยต่อวันน้อยสุดประมาณ 1000-2000 กว่าคน บางวันพบมากสุดประมาณ 4000 กว่าคน ถ้าให้เทียบกับประเทศเทศไทยแล้ว ประเทศไทยดูเหมือนแมวไปเลย แน่นอนว่าไม่มีใครอยากแข่งว่าประเทศใครพบผู้ป่วยเยอะสุดหรือพบน้อยสุด แค่จะบอกว่าประเทศไทยโชคดีแล้ว ถึงจะไม่ที่สุดแต่ถือว่าโชคดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการที่ถือว่าเด็ดขาด รอบคอบ อาจผ่อนปรนบางอย่างไปบ้างแต่ถือว่ายังเอาอยู่ รวมถึงการให้ความร่วมมือของพี่น้องประชาชนที่ถือว่าทำได้ดีมากๆ ตอนแรกดูเหมือนจะมีปัญหากันอยู่บ้างทั้งเรื่องของการจัดการและการให้ความร่วมมือ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่อยู่ๆ เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้น ใครจะไปรับมือทำใจทัน อาจขัดใจไปบ้าง ดื้อดึงไม่ฟังบ้าง แต่ดูร่วมๆไปแล้ว แค่ทุกคนไม่ชิน แค่ทุกคนไม่อยากถูกบังคับ เลยมีอาการที่มันต่อต้านบ้าง อันนี้เข้าใจประชาชนแต่ส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยถึงมีมาตรการขันเด็ดขาดแบบนี้ เข้าใจเขาเข้าใจเรานะคะ ลองพยายามเข้าใจนะคะ และจะรู้สึกดีขึ้น กลับมาที่ตัวเองอยู่ต่างประเทศและมีโรคระบาดที่ค่อนข้างหนัก ตอนนั้นรู้สึกจิตตกไปเลย ลำพังแค่เรียนก็ปวดหัวแล้วต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก รู้สึกว่ากลับไทยตอนนั้นเดี๋ยวนี้เลยแต่ต้องกลับมาประเมินสถานการณ์กันก่อน ในช่วงที่ทุกคนทั่วโลกกำลังแตกตื่น ช่วงนั้นเราต้องมีสติให้มากที่สุด อย่างแรกทุกคนต่างกันกลัว ต่างก็อยากกลับประเทศตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าสนามบินคนต้องเยอะ เราต้องเจอใครบ้างก็ไม่รู้ ตอนนั้นคิดว่าถ้าทั่วโลกยังหาแนวทางการแก้ไขปัญหายังไม่เจอประเทศไทยก็น่าจะเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน ถึงเรากลับไป ดีไม่ดีอาจเพิ่มปัญหาให้คนทางนั้นด้วยซ้ำ สู้ทำตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองไปก่อน รอให้ปัญหานี้เริ่มซาลง ค่อยคิดหาทางกลับ ในขณะที่คิดหาทางกลับประจวบเหมาะกับที่ไทยเริ่มเข้าใจสถานการณ์และจัดการปัญหาได้เริ่มดีขึ้น ตอนนั้นติดต่อกับสถานทูตทำเรื่องขอเดินทางกลับ เพราะประเทศไทยยังไม่อนุญาตใครเดินทางเข้าประเทศไทย นอกจากเป็นเครื่องบินที่รัฐบาลจัดการหามาให้ และแน่นอนว่าหลังจากกลับมาถึงไทยแล้ว ต้องยินยอมให้ความร่วมมือทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานที่กักตัว (state quarantine) รวมถึง swab test ทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของรัฐ ที่มีทีมงานและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจัดการอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ใน 14 วันของการกักตัวอาจดูไม่ยาวนาน แต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ในห้องเดิมๆ ที่ไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ค่อนข้างโสด เหงาและว่างมาก ถึงมีเรียนออนไลน์ก็เรียนเสร็จภายในตอนเช้า ซึ่งช่วงอื่นก็ว่าง อาจผิดที่เราไม่ชอบดูละครก็ได้ มันเลยดูว่างและเหงาเกินไป แนะนำหาแฟนก่อนโดนกักตัวนะคะ อาจจะไม่เหงาเกินไปเหมือนเราก็ได้ ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะอดตาย ห่วงเรื่องกินอิ่มนอนตายดีกว่าค่ะ ทุกอย่างอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารก็คัดสรรมาอย่างดี จะไม่มีรสจัดมากเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องเสีย ส่วนเรื่องอาการเครียดไม่สบายก็จะอยู่ในส่วนของการดูแลของทีมแพทย์ และในอีกหลายๆส่วนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ดูแลเหมือนเป็นห่วงเรามากกว่าทำมาเพราะเป็นหน้าที่ซะอีก ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนจริงๆ แล้วต้องขอโทษที่ต้องเพิ่มภาระให้พวกคุณ ลำพังต้องดูแลตัวเองในช่วงสถานการณ์ตอนนี้ยังยากแล้ว แล้วต้องมาดูแลคนที่เสี่ยงเกิดโรคอย่างเราอีก พวกคุณเหนื่อยเกินไปแล้ว แน่นอนว่าเราจะไม่ทำตัวให้มีปัญหาหรือเพิ่มภาระแก่พวกเขาอีก พวกคุณบอกให้อยู่แต่ในห้อง เราก็จะอยู่ พวกท่านบอกให้กิน เราก็จะกิน พวกท่านบอกให้เดิน เราก็จะเดิน จะทำทุกอย่างที่พวกท่านแนะนำ เพราะพวกเขาเป็นห่วง เรารู้สึกได้