เวลานี้ หลายคนคงเคยได้ยินหรือรู้จักชุดตรวจโควิดบ้างแล้ว แต่ก่อนที่จะเลือกใช้ชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง เรามีข้อควรรู้ก่อนใช้มาฝากกัน ลองไปดูเลย 1. เลือกชุดตรวจโควิดให้ถูกประเภท ปัจจุบันชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตนเองมี 2 แบบ คือ แบบที่ 1 Rapid Antigen Test จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการตรวจหา”เชื้อไวรัส” โดยตรง เพราะ”antigen” หมายถึง สิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ซึ่งก็คือ เชื้อไวรัส นั่นเอง การตรวจวิธีนี้จะเก็บตัวอย่างทางจมูกหรือลำคอ (swab) หากได้รับเชื้อแล้ว 5-14 วัน เมื่อใช้วิธีนี้ตรวจจะให้ผลที่แม่นยำขึ้น แบบที่ 2 Rapid Antibody Test เห็นชื่อก็พอทราบได้ว่าเป็นการตรวจหาแอนติบอดีหรือ “ภูมิคุ้มกัน”ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ภายหลังการติดเชื้อไวรัส จึงเป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสทางอ้อม การตรวจวิธีนี้ใช้การเจาะเลือด (blood) ผู้ติดเชื้อแล้วตั้งแต่ 10 วันขึ้นไปมีโอกาสในการตรวจพบเชื้อ แต่ในประเทศไทยยังไม่นำมาใช้ เพราะโอกาสตรวจผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ถ้าตรวจหาเชื้อในช่วงที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายยังไม่สร้างหรือสร้างน้อยก็อาจจะทำให้ผลตรวจเป็นลบปลอมได้ เครดิตภาพ: Mika Baumeister I Unsplash 2. ชุดตรวจโควิดควรได้มาตรฐาน ตอนนี้ชุดตรวจโควิดออกมาจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อ จะเลือกยี่ห้อไหนก็อยากให้คำนึงถึงความน่าเชื่อถือได้เป็นหลักนะ เพราะสุขภาพเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ข้อสังเกตง่าย ๆ ในการเลือกซื้อชุดตรวจโควิดก็คือชุดตรวจนั้นควรผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยา (อย.) เพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยเราตรวจสอบความน่าเชื่อถือแล้วในระดับนึง ผลตรวจที่ได้จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นไงล่ะ และตอนนี้ชุดตรวจโควิดด้วยตนเองที่ผ่านการรับรองแล้วในไทยมีทั้งหมด 5 ชุด แต่เป็นแบบ “Rapid Antigen Test” ที่ใช้การตรวจทางจมูกหรือลำคอเท่านั้นนะ ลองเข้าไปส่องตามนี้ได้เลย >> รายชื่อชุดตรวจหาแอนติเจน COVID-19 ด้วยตนเองที่ได้รับการผลิต/นำเข้าจากอย. ส่วนชุด Rapid Antibody Test ที่ตรวจภูมิคุ้มกันยังไม่รับอนุญาตจากอย.ให้มีการจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป 3. เก็บตัวอย่างตามคำแนะนำในชุดตรวจ เมื่อใช้ชุดตรวจโควิดแบบป้ายจมูกหรือลำคอต้องเก็บลึกลงไปตามตำแหน่งที่ระบุในชุดตรวจจะทำให้มีโอกาสพบเชื้อในการตรวจได้มากที่สุด เครดิตภาพ: Mufid Majnun I Unsplash 4. แปลผลตามคู่มือ ในชุดตรวจโควิดแบบ Rapid Antigen Test นั้น ตามหลักการโดยทั่วไป การอ่านผลจะมี 2 แถบ แถบที่หนึ่งคือ “C” ที่มาจากคำว่า “Control” หรือ "ตัวควบคุม" เป็นแถบที่มีขึ้นเพื่อบอกว่าชุดตรวจที่เรากำลังใช้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานได้ ใช้โลดจ้าา ***ดังนั้น ทุกครั้งที่เราใช้ชุดตรวจนี้ แถบนี้จะต้องขึ้นเสมอ*** แถบที่สองคือ “T” ที่มาจากคำว่า “Test” หรือ "ตัวทดสอบ" เป็นแถบที่มีขึ้นเพื่อบอกว่าผลตรวจที่ได้เป็นบวกหรือลบ ดังนั้น ผลที่จะได้จากการใช้ชุดตรวจโควิดที่จะเป็นไปได้ทั้งหมด คือ C มีแถบขึ้น T มีแถบขึ้น = ผลบวก (ต้องไปตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง) C มีแถบขึ้น T ไม่มีแถบขึ้น = ผลลบ (อย่าเพิ่งลัลล้านะ ควรตรวจอีกครั้งภายใน 3-5 วัน) C ไม่มีแถบขึ้น T มี/ไม่มีแถบขึ้น = ชุดตรวจช้ินนี้มีปัญหา ผลตรวจที่ได้ไม่น่าเชื่อถือ ควรตรวจซ้ำโดยเปลี่ยนชุดตรวจเป็นอันใหม่ ***แต่ทั้งนี้ก็ควรทบทวนอีกครั้งด้วยนะว่าเราหยดตัวอย่างหรือทำตามคำแนะนำในชุดตรวจโควิดถูกต้องทุกขั้นตอนมั้ย เพราะเป็นไปได้ที่บางครั้งอาจเผลอลืมหยดตัวอย่างหรือทำข้ามขั้นตอนที่ในคู่มือบอก ทำให้อ่านผลไม่ได้ก็มีจ้า เพราะฉะนั้นตั้งสติก่อนสตาร์ทล่ะ เครดิตภาพ: ดัดแปลงจาก Greenvalley Pictures I Unsplash 5. ห้ามใช้ซ้ำ ห้ามทำตก ระหว่างใช้ชุดตรวจอยู่ ถ้าบังเอิ๊ญ บังเอิญทำก้าน swab หรืออุปกรณ์ชุดตรวจตกพื้นก็ไม่ต้องเสียดายเก็บขึ้นมาใช้ใหม่นะ หยิบอันใหม่มาใช้แทนเลยจ้า เพราะอุปกรณ์ที่ตกพื้นแล้วก็เหมือนอาหารที่ตกพื้น มีโอกาสที่เชื้อโรคจะปนเปื้อนได้สูงมากกก ถ้าเรานำมาใช้ซ้ำ อาจทำให้ผลตรวจผิดพลาดได้เลยนะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว 5 ข้อที่แนะนำไปทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ หากถึงเวลาจำเป็นต้องใช้จริง อย่าลืมนำไปใช้เพื่อให้ผลตรวจมีความถูกต้องมากขึ้นนะ ข้อมูลอ้างอิง : OrYor Digital Library แหล่งรวบรวมข้อมูลและความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา https://www.who.int/diagnostics_laboratory/eual/eul_0563_117_00_standard_q_covid19_ag_ifu.pdf เครดิตรูปภาพ : รูปหน้าปก: ผู้เขียน เนื้อหาทั้งหมดถูกเรียบเรียงและเขียนโดยผู้เขียน อัพเดตข่าวสารก่อนใคร พร้อมเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !