หนึ่งในความอยากพิชิตความสำเร็จสำหรับสายสุขภาพโดยเฉพาะสายวิ่งคืออยากเก็บเหรียญรางวัลในแมตช์ต่าง ๆ ให้ได้จนครบ และจบด้วยการพิสูจน์ร่างกายรวมทั้งจิตใจของตัวเองว่าเราจะไปได้จนจบมาราธอนเหมือนอย่างใครเขาบ้าง แต่ก็ต้องทำไปเพื่อสุขภาพร่างกายไม่ใช่เพียงเพื่อการอยากเอาชนะความสามารถและศักยภาพร่างกายของตัวเอง การมีเป้าหมายที่มุ่งมั่นและประสบความสำเร็จได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่สนคุณค่าและความหมายระหว่างทางในความพยายาม นอกจากสุขภาพดี ๆ ที่เราต้องการจะได้ จะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองได้เพราะการที่เราหักโหม แถมยังทำให้เราไปได้ไม่จบเป้าหมายอีกด้วย เครดิตภาพ : pixabay.com 'อยากวิ่งมาราธอนสักครั้ง' ก็ควรจะให้การเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจก่อนที่จะทำสิ่งใดถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างหนึ่งเลย เพราะเหมือนทำให้เราได้รู้จักตัวเอง เข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการฝึกซ้อมทำแบบฝึกหัดอย่างซ้ำ ๆ เพื่อให้เราได้คุ้นชิน ปรับสภาพตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเตรียมใจให้ดีว่านี่เราเอาจริงแล้วหรือเปล่า 1. ซ้อมเอาไว้ก่อน การวิ่งสะสมเป็นระยะทางมาก ๆ แบบนี้แค่มีใจสู้อย่างเดียวเป็นอาวุธที่มี! คงจะไม่คำตอบที่ถูกสักเท่าไหร่นะ เพราะระยะทางและความพร้อมของร่างกายอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าที่จะได้สุขภาพเฮลท์ตี้ดั่งใจ หากไม่เคยผ่านการซักซ้อมวิ่งเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายเอาไว้แล้วมาหักโหมทีเดียวเลยหน้างาน ฉะนั้นการเตรียมความพร้อม ซ้อมวิ่งเพื่อให้ร่างกายของเราค่อย ๆ ปรับสภาพให้คุ้นชินกับระยะทางในการวิ่ง ควบคุมการหายใจเพื่อไม่ให้เราเหนื่อยจนเกินไป อัตราการเต้นของหัวใจ หรือแม้แต่กำลังกายและกำลังใจก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องพร้อมก่อนที่จะตัดสินไปวิ่งในสนามจริง เครดิตภาพ : pixabay.com 2. เช็คสุขภาพ เพื่อสุขภาพหรือเพื่อทำร้ายสุขภาพ ต้องเข้าใจและยอมรับกับสภาพร่างกายของเราให้ดีก่อนที่จะเข้าสู่การวิ่งครั้งนี้ เตรียมร่างกายตัวเองฟิตซ้อมให้ดีและต้องแน่ใจว่าก่อนการลงแมตช์นี้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงพร้อมวิ่งได้แบบไม่ป่วย อย่าพยายามฝืนร่างกายหากสภาพเราไม่พร้อม เช่น ไม่สบาย เจ็บปวดร่างกาย หรือมีโรคภัยร้ายแรงที่อาจจะทำให้การวิ่งครั้งนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับด้านสุขภาพของเราเอง ให้ตัวเองได้พักเถอะนะไม่ต้องลากตัวเองออกมาทำอะไรหนัก ๆ ทั้งที่เรามีอาการป่วย เอาไว้ร่างกายพร้อมกว่านี้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาลงแมตช์หน้าก็ยังได้ ยังไม่ถือว่าสายไปหรอก! เครดิตภาพ : pixabay.com 3. วอร์มก่อนเริ่ม ถึงแม้ว่าจะตระเตรียมและซ้อมมาเป็นเวลานานแต่ไม่ได้หมายถึงว่าวันงานเราจะสามารถลุยได้เลยทันทีแบบไม่มีการยืดเส้นยืดสายหรือวอร์มร่างกายก่อนการวิ่งจริง เพราะนอกจากการวอร์มเพื่อให้ร่างกายของเราตื่นตัวพร้อมวิ่งเต็มที่แล้ว การวอร์มร่ายกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้มีการยืดหยุ่นช่วยลดอาการบาดเจ็บ ให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดี ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทำงานได้มากขึ้นพร้อมที่จะออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการปรับตัวของร่างกายและไม่ทำให้เราหมดแรงหรือบาดเจ็บไปก่อนจะจบแมตช์ เครดิตภาพ : pixabay.com 4. ก่อนวิ่งอย่าปล่อยให้ท้องว่าง เพราะการวิ่งก็ต้องใช้พลังงานและกำลังกายในการออกแรง แถมยังต้องวิ่งแข่งกับเวลา CUT OFF ให้ทันอีกด้วย เราเลยต้องมีตัวช่วยเพิ่มกำลังให้ตัวเองกันเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มต้นลงสนามกันสักหน่อย การทานอะไรรองท้องไปบ้างเล็กน้อยไม่ให้อิ่มจุกมากไปให้ร่างกายของเรามีโปรตีนและพลังงานก่อนการแข่ง ด้วยการทานอาหารสักประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ให้เหล่าอาหารได้เริ่มย่อยและแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานให้เราได้เอามาใช้ในตอนออกกำลังจะได้ไม่หมดเรี่ยวแรง หน้ามืด เป็นลม หรืออ่อนแรงขณะที่วิ่งอยู่ เครดิตภาพ : pixabay.com 5. อุปกรณ์ต้องพร้อม นอกจากร่างกายจิตใจที่เราเตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ครบถ้วนแล้ว อุปกรณ์เสริมที่จะเป็นตัวช่วยให้เราทำการวิ่งแมตช์นี้ไปได้ด้วยดีแบบไม่มีอุปสรรคคือต้องมาพร้อมกับอุปกรณ์ภายนอกอย่าง รองเท้า เสื้อผ้า สนับต่าง ๆ หรือตัวช่วยที่จะเราให้วิ่งได้อย่างคล่องตัวและป้องกันการบาดเจ็บของเราที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เตรียมทุกอย่างช่วยซัพพอร์ตร่างกายที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง เพื่อให้การวิ่งของเราปลอดภัยอย่างไม่ต้องกังวล เครดิตภาพ : pixabay.com เป้าหมาย ความท้าทาย รวมทั้งสุขภาพดี ๆ ที่อยากได้ ต้องไม่ทำให้เราเจ็บปวดหรือทรมาณร่างกายของตัวเองมากเกินไปและทำอย่างพอดี หากเรามีความพร้อม ฝึกซ้อม ทำทุกอย่างแบบไม่หักโหม ระหว่างทางนั่นแหละคือความสุข คุณค่า และความหมายของการที่เราได้พยายามครั้งหนึ่งเพื่อตัวเองอย่างไม่ต้องฝืน เป็นคำตอบว่าความสำคัญของการเตรียมตัวจะตอบแทนความพยายามมาเป็นอย่างดีที่จะพาให้เราวิ่งมาราธอนแมตช์นี้หรือแมตช์อื่น ๆ ที่มีได้อย่างสบายไม่บาดเจ็บร่างกายได้สุขภาพ การวิ่งให้ครบจบแมตช์ก็ไม่ใช่ความทรมาณและเป็นเรื่องยากอีกต่อไปแล้ว