เคยไหมกับการพยายามลดหน้าท้อง อยากมีหน้าท้องแบนราบสวยๆ เห็นซิกแพ็กบางๆ ช่วยเพิ่มความเซ็กซี่เบาๆ แต่มีอาจมีอย่างที่ลงมือทำไปแล้วกลับไม่เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของหน้าท้อง พุงก็ยังป่องอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเพราะเรายังมีความเชื่อที่ผิดอยู่เกี่ยวกับวิธีการลดหน้าท้องนั่นเองค่ะ รับประกันได้เลยว่าใครคนไหนที่กำลังพยายามลดหน้าท้องอยู่ล้วนแต่ต้องเคยผ่านเหล่าความเข้าใจผิดนี้มาอย่างแน่นอน วันนี้เราขอรวบรวมเอา 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลดหน้าท้องมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ 1.อยากลดพุงต้องซิทอัพเยอะๆ เล่นหน้าท้องทุกวัน ข้อไหนก็คงไม่ฮิตเท่าข้อนี้แน่นอน สิ่งแรกๆ ที่เราจะทำเมื่อพยายามลดพุงป่องหน้าท้องยื่น คือ การซิทอัพ (Sit-Up) และการเล่นหน้าท้องหนักๆ เป็นประจำทุกวัน บางคนมุ่งมั่นมากๆ ก็จัดไปเลยวันละ 100-200 ครั้ง แต่ทำไปหลายๆ วันเข้าก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมหน้าท้องไม่ยุบ พุงไม่หายไปเสียที ความจริงแล้วการซิทอัพก็นับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีเช่นเดียวกัน แต่มันไม่ได้ทำให้พุงของเรายุบแต่อย่างใด การซิทอัพจะช่วยให้เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหน้าท้องของเราเท่านั้น และที่สำคัญเราไม่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้ค่ะ แต่ร่างกายจะค่อยๆ ลดไขมันไปพร้อมกันหลายๆ ส่วน ส่วนไหนจะลดไว หรือลดช้า ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะร่างกายของแต่ละคน ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 1พอจะลดพุง อยากมีหน้าท้องแบนราบ เราก็เลยจัดตารางออกกำลังกายโดยเฉพาะส่วนหน้าท้องแบบเข้มๆ เลยค่ะ ออกหน้าท้องแบบวันเว้นวัน วันละ 50-60 นาที โฟกัสแต่หน้าท้องจนไม่ได้เล่นส่วนอื่นเลย พอนานวันเข้ากล้ามท้องเราก็แข็งๆ ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ยื่นน้อยลง หรือรอบเอวก็ไม่ได้ลดลงเท่ากับที่พยายามเลย เรียกว่าท้อสุดๆ สุดท้ายก็เลิกออกกำลังกายไปพักใหญ่เพราะรู้สึกว่าทำไปก็ไม่เห็นผล สุดท้ายมาเจอคำตอบว่าการลดหน้าท้อง ห้ามเล่นแค่หน้าท้อง แต่ควรทำสิ่งต่อไปนี้ด้วยออกกำลังกายประเภทใช้แรงต้านทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่สุดอย่างสะโพก ต้นขา กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้ออก ยิ่งกล้ามเนื้อในร่างกายของเราเยอะขึ้น ระดับการเผาผลาญพลังงานและเตาเผาไขมันของเราจะยิ่งเพิ่มขึ้น สัดส่วนของเราก็จะกระชับ เล็กลง การเล่นแต่กล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย หากต้องการเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง มีท่าอื่นๆ ที่โดนหน้าท้องแบบเต็มๆ มากกว่าการซิทอัพ เช่น ท่า Crunch หรือการฝึก Plank ซึ่งเราฝึกทำท่าเหล่านี้ได้ทุกวันตามสะดวกเลยค่ะ เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพื่อช่วยเผาไขมันส่วนเกิน 2.อยากลดพุงต้องกินน้อยๆ กินแป้งน้อยๆ เน้นผักผลไม้ ต่อที่การวางแผนไดเอท พอจะอยากมีเอวบางๆ พุงเรียบสวย เราก็มักจะลดปริมาณการกิน คือ กินให้น้อยลง กินแป้งน้อย กินไขมันน้อยๆ กินเนื้อน้อยๆ แล้วหันไปกินพวกผักและผลไม้ สลัดต่างๆ เป็นหลักแทน การกินน้อยทำให้หน้าท้องของเรายื่นน้อยลงนั่นเป็นความจริงค่ะ เพราะปริมาณอาหารในท้องลดน้อยลง ท้องเราก็จะขยายน้อยลงแปรผันตรงกันไป แต่การกินน้อยๆ กินแต่ผักและผลไม้จนร่างกายเริ่มขาดสารอาหารสำคัญอย่างพวกแป้ง โปรตีนและไขมัน ก็ไม่ใช่การลดน้ำหนัก หรือลดหน้าท้องแบบยั่งยืนเช่นเดียวกันค่ะ การกินน้อยลงเป็นเวลานาน (ในบางคนเผลอกินน้อยกว่าค่า BMR) จะทำให้ระดับการเผาผลาญของเราน้อยลงไปเรื่อยๆ พอถึงค่าหนึ่งที่ร่างกายเริ่มทนหิวไม่ไหว เมื่อเรากลับมากินเยอะขึ้นทั้งๆ ที่ร่างกายยังเผาผลาญได้น้อยอยู่ เราจึงอ้วนขึ้นทั้งๆ ที่กินเท่าเดิมกับตอนก่อนจะลดพุง (หรือที่เราเรียกกันว่าโยโย่เอฟเฟค) คราวนี้ปัญหาก็จะมีให้แก้แบบไม่จบไม่สิ้น ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 2ลดพุงต้องกินน้อย กินแป้งน้อยๆ กินเนื้อกลางๆ เน้นผักและผลไม้ พุงเล็กลงจริงค่ะ (แต่รอบเอวไม่ลดนะ!!) และหิวหนักมาก ยิ่งเราเป็นคนที่ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยการกินน้อยๆ ยิ่งไม่ตอบโจทย์เข้าไปใหญ่ พอทำหลายๆ วันเข้าก็เริ่มหมดแรง ไม่มีแรงออกกำลังกาย สุดท้ายก็กลับมากินปริมาณเยอะเหมือนเดิม คำตอบเกี่ยวกับการกินอาหารเพื่อลดพุงที่เราพบ คือเริ่มแรกที่คำนวณหาค่า BMR และ TDEE ของตัวเองให้เหมาะสม หลังจากนั้นจึงมาเฉลี่ยว่าช่วงนี้เราควรกินสารอาหารหลักๆ ได้แก่ แป้ง โปรตีน และไขมัน ในปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน หากต้องการลดไขมันก็อาจจะลดพลังงานแคลอรีลงจากค่า TDEE ประมาณ 100-500 kcal (การปรับลดค่าพลังงานลง จะต้องเหมาะสมสอดคล้องกับระดับกิจกรรมที่ทำด้วย)ยังแนะนำว่าต้องกินสารอาหารให้ครบทุกชนิด อาจจะลดแป้งลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่เลี่ยงไม่กินไปเลย (ตรงนี้บางคนอาจลดแป้งไปเลยเพราะเป็นสายคีโต ก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง) ส่วนของที่ควรเลี่ยงหรือกินให้น้อยที่สุด จะเป็นพวกน้ำตาล ของหวาน ของทอด ขนมจุบจิบที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผักและผลไม้ก็สามารถกินได้ แต่ใช้กินเป็นอาหารที่เสริมความอิ่ม เติมวิตามิน เกลือแร่และเส้นใยอาหารให้กับร่างกาย อย่าดึงมากินแทนสารอาหารหลัก เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ 3.อยากลดพุงต้องห้ามกินหลัง 6 โมงเย็น งดข้าวเย็น หลายๆ คนอาจเคยเจอประโยคที่ว่า "หลัง 6 โมงเย็นไป อย่ากินอาหาร จะได้ไม่อ้วน ลดพุงยื่น" ซึ่งความจริงแล้ว เราจะกินกี่โมงก็ได้ค่ะ ถ้าเรากินในแคลอรีที่ร่างกายควรได้รับ ไม่เกินโควต้า น้ำหนักตัว และไขมันในร่างกายของเราก็จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงแต่การกินอาหารในตอนเย็น ที่หลายๆ คนจะเริ่มขยับตัวน้อยลง กินติดกับช่วงก่อนเข้านอนจะทำให้เราแน่นท้อง อึดอัดตัว นอนหลับได้ยาก หรืออาจเกิดปัญหากรดไหลย้อนขึ้นได้ ดังนั้นแล้ว เราจะกินอาหารตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ แต่ย้ำว่าต้องไม่เกินแคลอรีที่ควรได้รับต่อวัน อย่างไรก็ไม่ทำให้เราอ้วน (ตรงนี้ขอไม่นับรวมในกรณีที่บางคนทำ IF กำหนดช่วงหยุดและช่วงกินเป็นเวลา) ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 3มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราต้องการลดไขมัน ลดหน้าท้อง แล้วกำหนดเวลากินแบบเคร่งครัดมากๆ ค่ะ เปิดเวลาให้ตัวเองกินที่ 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นไปก็จะไม่กินอะไรเลย (ตรงนี้สำคัญคือในช่วงที่กินได้เราต้องกินให้ครบกับที่ร่างกายต้องการด้วยค่ะ) ดื่มแค่เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น ข้อดีของวิธีนี้ก็คือทำให้เรากินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบเรื่อยเปื่อย แต่ส่วนตัวสำหรับเราการกินแบบกำหนดช่วงเวลา หรือไม่กำหนดช่วงเวลาก็ไม่ได้ส่งผลต่อการลดหน้าท้องมากเท่าไหร่ค่ะ เทียบกับตอนนี้ที่เราเน้นกินให้อิ่ม กินให้พอ ไม่ได้เคร่งกับเวลามากนัก ก็สามารถลดหน้าท้อง ลดสัดส่วนได้เหมือนกัน 4.ทุกอย่างต้อง Low fat / Free Fat / Low Sugar พอจะลดน้ำหนัก ก่อนจะเลือกซื้ออะไรมากินเราก็มักจะเริ่มอ่านฉลากโภชนาการกันมากยิ่งขึ้น และส่วนใหญ่มักจะเลือกอาหารที่มีข้อความประมาณว่า Low Fat / Low Sugar / Free Fat / Zero Sugar กันเป็นส่วนใหญ่เพราะมองว่าอะไรก็ตามที่มีไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย หรือไม่มีเลยย่อมจะเป็นอาหารทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วในอาหารประเภทไขมันน้อย หรือไม่มีไขมัน มักจะมีการเติมน้ำตาลหรือแป้งเพิ่มเข้ามาเพื่อปรับรสชาติให้กินง่ายมากยิ่งขึ้น หรือในกลุ่มน้ำตาลน้อยหรือไม่มีน้ำตาล ที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิดมา ซึ่งเราก็จะเชื่อว่ากินมันเยอะๆ ได้โดยไม่ทำให้เราอ้วน แต่การกินสารให้ความหวานแทนน้ำตาลบ่อยๆ อาจทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในร่างกาย และบางครั้งทำให้เราติดหวาน และกลับมากินอาหาร ของหวานๆ มากขึ้นกว่าเดิมดังนั้นแล้ว อย่าเลือกดูแค่คำว่า Low Fat / Free Fat / Low Sugar เพียงอย่างเดียว ให้ดูส่วนผสมโดยรวมด้วยว่าตัวอื่นๆ มีปริมาณเท่าไหร่ ส่วนสารให้ความหวานแทนน้ำตาลก็ยังใช้ได้ แต่ไม่ใช่กินวันละเยอะๆ เป็นประจำ แบบนี้เราก็ไม่หลุดไปจากนิสัยติดหวาน ลดพุงได้ยากเหมือนเดิม ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 4อ่านฉลากโภชนาการ อะไรที่ Low fat / Free fat / low sugar หรือบอกว่าดีต่อสุขภาพมากกว่า เราเลือกซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ไวมาก โดยแทบจะไม่ดูส่วนผสมอื่นๆ เลยค่ะ เพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพแน่ๆ จนไปเจอข้อมูลจากเพจเพื่อสุขภาพที่บอกว่าอาจจะมีอาหารบางตัวที่บอกว่าไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมันก็จริงนะ แต่แป้งและน้ำตาลก็จะเยอะขึ้นมาด้วย เพื่อช่วยแต่งรสให้กินง่ายมากยิ่งขึ้น พอรู้แบบนี้ช่วงหลังๆ เราก็ไม่เคลิ้มไปกับคำว่า Low fat / Free fat / low sugar อ่านฉลากให้ละเอียด หรือก็เลือกกินแบบ Full Fat ไปเลย ไม่ต้องซีเรียสมาก 5.อยากลดพุงต้องดีท็อกซ์ อยากลดพุง พุงไม่ป่อง ต้องดีท็อกซ์ลำไส้บ่อยๆ จริงอยู่ว่าการที่ร่างกายของเราได้ขับถ่ายกากอาหารตกค้างออกมาจะช่วยให้โล่งท้อง ท้องที่ป่องๆ ดูเล็กลงไปได้เล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเราขับเอากากใยอาหารและน้ำออกไปจากร่างกาย แต่การดีท็อกซ์ไม่ได้ขับเอาไขมันออกมาด้วย เพราะฉะนั้นแล้วการทำดีท็อกซ์ไม่ได้ส่งผลต่อการลดน้ำหนัก หรือลดไขมันในระยะยาว ยิ่งโดยเฉพาะในบางกลุ่มที่มักดีท็อกซ์ด้วยการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือยาถ่ายเป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ลำไส้เคยชินกับยาช่วยถ่าย ทำให้เราขับถ่ายเองได้ยากถ้าไม่กินตัวช่วยเข้าไป หรือในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้ลำไส้แปรปรวน หรือเกิดปัญหาลำไส้อุดตันเพราะท้องผูกได้เราสามารถกระตุ้นการขับถ่ายโดยธรรมชาติได้ด้วยการกินอาหารจากธรรมชาติ ที่ไม่ผ่านการขัดสี เพื่อช่วยเพิ่มกากใยให้ระบบย่อยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ แป้งไม่ขัดสี ฯลฯ ดื่มน้ำให้เพียงพอ หมั่นขยับร่างกายบ่อยๆ และเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายให้เป็นเวลา จะช่วยให้เราขับถ่ายได้ดีมากยิ่งขึ้น ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 5ส่วนตัวเคยมีเพื่อนที่อยากลดน้ำหนัก ลดรอบเอวแล้วเน้นกินยาลดน้ำหนัก ดื่มดีท็อกซ์อยู่เหมือนกันค่ะ ซึ่งในช่วงแรกๆ ตัวก็จะเล็กลง แต่เมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็จะคงที่และลดได้ยาก ส่วนการดีท็อกซ์ก็ช่วยทำให้สบายท้องขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยลดไขมันในร่างกายของเรา เน้นสร้างนิสัยการขับถ่ายให้เป็นปกติ คุมอาหาร และหมั่นออกกำลังกายจะช่วยให้เราลดไขมันได้ยั่งยืนมากกว่าค่ะ 6.Focus ตัวเลขบนตาชั่งเพียงอย่างเดียว พอลดน้ำหนัก อยากเอวเล็ก พุงเล็กลง หลายๆ คนก็จะเครียดกับตัวเลขบนตาชั่งมากๆ ถ้าตื่นเช้ามาวันไหนน้ำหนักไม่ลดก็จะรู้สึกเครียดและนอยด์ เพราะว่าลดน้ำหนักไม่ได้ผล จริงๆ แล้วนั้นการลดไขมันวัดด้วยตาชั่งยากมาก ถ้าหากจะวัดให้เห็นผลชัดๆ แนะนำให้วัดรอบเอว และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์จะดีกว่า บางครั้งเราจะพบว่าสัดส่วนเล็กลง รู้สึกว่ารอบเอวกระชับมากยิ่งขึ้น พุงไม่ป่องเหมือนเก่า แต่น้ำหนักตัวยังคงเท่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่ามวลกล้ามเนื้อของเราอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยในช่วงไดเอตและการออกกำลังกายของเรา เพราะฉะนั้นแล้วถ้ากำลังอยู่ในแผนของการลดเอว ลดพุง แต่พบว่าน้ำหนักตัวนิ่งตรงนี้ไม่ต้องเครียดเลยค่ะ ถึงน้ำหนักตัวไม่ลดลงมากมาย แต่สัดส่วนดีขึ้น กระชับขึ้น แบบนี้ถือว่ามาถูกทางแล้ว ประสบการณ์ส่วนตัวกับความเชื่อข้อที่ 6ตอนแรกเริ่มที่ลดน้ำหนัก อยากมีหน้าท้องสวยๆ เราเครียดกับตัวเลขบนตาชั่งมากค่ะ อยากน้ำหนักตัวน้อยๆ มีค่าน้ำหนักในหัวใจ จะได้รู้สึกผอมๆ พอน้ำหนักตัวเริ่มนิ่งสัก 4-5 วัน ก็จะรู้สึกว่าตัวเองทำมาผิดทาง แต่ไม่เคยวัดสัดส่วนเพื่อติดตามโดยละเอียดเลยสักที ตอนนี้เราไม่โฟกัสที่น้ำหนักเลยค่ะ แต่เน้นความรู้สึกว่าตัวเองดูตัวเล็กลง กล้ามเนื้อกระชับมากกว่าเก่า และวัดส่วนเก็บไว้ทุกๆ สัปดาห์ ถ้าสัดส่วนเราดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่ามาถูกทางแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ 6 ความเชื่อแบบผิดๆ ที่เรารวบรวมมาฝาก จะช่วยให้เพื่อนๆ ลดหน้าท้องได้อย่างถูกวิธีมากยิ่งขึ้น ไม่มาเจอปัญหาแบบที่เราเคยเจอค่ะ อย่าลืมให้เวลาตัวเอง ไม่เครียดมากจนเกินไปด้วยนะคะ เพราะความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พุงของเราป่อง รอบเอวไม่ลดได้เช่นเดียวกัน ภาพปกบทความ : ภาพที่ 1 โดย Billion Photos จาก canvaภาพเนื้อหา : ภาพที่ 1 โดย Rido / ภาพที่ 2 โดย Prostock-studio / ภาพที่ 3 โดย Alecu Buse's Images / ภาพที่ 4 โดย jaminwell / ภาพที่ 5 โดย Nzewi Confidence's Images / ภาพที่ 6 โดย RyanKing999เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !