วันนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่ปารีส หลังจากไปเดินดูLouvre museum มาครึ่งวันก็เริ่มหิว เลยเปิดgoogle ดูจากในร้านStarbucksเพราะใช้เน็ตได้ฟรี searchหาร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดัง ปรากฎว่าได้ร้านชื่อ Bouillon Charlies restaurant ซึ่งร้านนี้เค้าบอกในเน็ตว่าเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสแบบดั่งเดิมและมีชื่อเสียงมากและที่สำคัญราคาถูก นี่แหละไปเลย ฮ๋าๆ นั่งรถไฟตามgoogle mapในมือถือมา ขึ้นจากรถไฟใต้ดินเสร็จก็เดินๆมาสักแปปก็เจอเลย ที่บอกว่าเป็นมื้อแรกและมื้อสุดท้ายในปารีสเพราะ ก่อนหน้านี้ไม่ได้มานั่งกินในร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้เลยเพราะ กินแต่ขนมปังที่ซื้อมาแล้วห่อมากินเองแทบทุกมื้อ บางมื้อก็กินแมค อย่างที่เห็นคิวก็เยอะพอสมควร ผมยืนรออยู่สักแปป พนักงานเสิร์ฟก็ถามลูกค้าที่ยืนต่อแถวทีละคนว่ามากันกี่คน จนมาถึงผมๆบอกว่าCan I get a table for one please ?พนักงานบอกว่า Ok! follow me ผมก็เลยเดินออกจากแถวไปด้วยความดีใจ เออวะ มาคนเดียว ชิวๆ ไม่ต้องรอนานก็มีที่นั่ง แต่มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้สิครับ พอเข้าไปในร้านคนเยอะมากเต็มทุกโต๊ะ ก็งงอยู่ว่าเค้าจะหาโต๊ะสำหรับหนึ่งคนได้ยังไง สุดท้ายจัดให้ผมนั่งกับโต๊ะแบบสี่คน ซึ่งมีครอบครัวหนึ่งเค้านั่งอยู่แล้วสามคน เลยทำหน้าไม่ถูกเลยทีนี้ ถามเค้าว่า Is that ok if I sit with you guys? ทั้งโต๊ะพร้อมใจกันตอบว่า Yes! คงน่าจะเป็นตามมารยาทมากกว่า555 ก็นั่งลงไปด้วยความรู้สึกเกร็งๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ครอบครัวที่นั่งโต๊ะเดียวกับผม เวลาผ่านไปสักห้านาที ทุกคนในโต๊ะยังเงียบ ผมรู้สึกอึดอัด ผมก็เลยเริ่มหาเรื่องถามโน้นนี่นั่น จนทั้งลูกชายและแม่เริ่มพูดกับผมมากขึ้นแต่คุณพ่อยังเงียบๆฟังอยู่ ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าอยากคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งกับคนแปลกหน้าทั้งโต๊ะนานๆ พอเริ่มคุยกับคุณแม่ก็เลยพอจะเข้าใจได้คุณแม่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่สำเนียงฟังยากมากเมื่อเทียบกับที่คุยกับลูกชาย คุยไปคุยมาก็จับใจความได้ว่า ทั้งครอบครัวเป็นคนอาร์เจนติน่า ตัวคุณแม่มาเที่ยวที่ปารีสบ่อยแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มากันทั้งครอบครัว หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างสั้งอาหาร พนักงานเสิร์ฟพูดภาษาอังกฤษอธิบายเมนูแบบติดจรวจรอบเดียว แล้วเดินจากไป เราทั้งสี่คนหัวเราะพร้อมกัน คุณแม่ถามผมว่า คุณเข้าใจมั้ยที่เค้าพูด ผมบอกว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฟังไม่ทัน 555+ จับใจความได้แค่ว่าอันไหนเป็นปลาอันไหนเป็นเนื้อ เราต่างคนต่างสั่งอาหารตามที่จับใจความได้เพราะเมนูไม่มีภาษาอังกฤษ ไอ่เราเลือกสั่งเมนูปลาแล้วสั่งไวน์ขาวมาหนึ่งขวด สักแปป ไวน์ขาวมาถึงโต๊ะก่อน อย่างที่เห็นในรูปข้างล่าง มันคงดั่งเดิมจริงๆ เพราะไม่เคยเห็นที่ไหนใส่ไวน์แบบนี้ ขวดเหมือนใส่น้ำเปล่า แต่รสชาตินี่ นึกว่าดื่มแอกฮอลล์เช็ดแผล โคตรแรง หลังจากนั้นเมื่ออาหารมาพร้อมกับไวน์ครบทุกคนแล้ว ทุกคนต่างกินที่แต่ละคนสั่งมาและชวนคุยกันเป็นพักๆ ลูกชายเค้าที่นั่งข้างๆผมบอกว่า เค้าเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ อยู่ที่อาร์เจนติน่า ช่วงนี้ปิดเทอมพอดีก็เลยมาพร้อมกับพ่อแม่ ส่วนคุณพ่อก็ยังไม่พูดกับผมอยู่ดี แต่ยิ้มและหัวเราะไปกับเรื่องที่ผมพูดกับลูกชายและภรรยาเค้า เราผลัดกันถ่ายรูปกันจนโต๊ะข้างๆอยากแจกด้วยเลยเป็นภาพอย่างที่เห็น ก่อนจ่ายตังค์ผมหยิบนามบัตรของตัวเองขึ้นมาบนโต๊ะและเขียนอีเมล์เพิ่มเติม แจกให้ทั้งครอบครัว บอกว่าถ้าคุณมาลอนดอนหรือเมืองไทย อย่าลืมผมละ หลังจากนั้นเค้าจ่ายตังกัน ก่อนลุกออกจากที่นั่งคุณพ่อก็ยื่นนามบัตรของเค้าให้ผมแบบงงๆ ผมรับไว้พร้อมกับขอบคุณเค้าและบอกลาทั้งครอบครัวแล้วก็เดินตามๆกันออกไป โดยลืมไปว่าตัวเองยังไม่ได้จ่ายตังค์55555+ มาถึงตอนนี้พนักงานตะโกนดังมาก บอกว่าคุณยังไม่ได้จ่ายตังค์ ผมเดินกลับไปจ่ายพร้อมขอโทษเค้าบอกว่าลืมจริงๆ จังหวะนั้นเหมือนจะไม่อายละเพราะฤทธิ์ไวน์ทำงานอยู่ จ่ายเสร็จก็เดินออกจากร้านอย่างสบายใจและสบายตัว :) จะว่าไปก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกดีเหมือนกัน ถ้าไม่มาคนเดียวก็คงไม่กล้าไปพูดกับคนอื่นแบบนี้ มันเป็นสถานการณ์บังคับให้เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เราไม่อึดอัด ซึ่งผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายคุยก่อนเพราะคิดว่าการนั่งเงียบต่อไป ไม่ได้ช่วยให้ตัวผมเองรู้สึกดีขึ้น เพราะทุกครั้งที่เรากล้าพูด กล้าท้าทายกับคนแปลกหน้าก่อน อย่างน้อยเค้าจะชอบไม่ชอบที่จะคุยกับเรา ก็ทำให้เราได้เรียนรู้คนและวัฒนธรรมไปในตัวที่สำคัญเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ความมั่นใจในตัวเองจะค่อยๆมากขึ้นเอง สำหรับการเดินทางต่างแดนคนเดียวเป็นครั้งแรกแล้วผมคงจะจำร้านนี้ไปอีกนาน สำหรับใครที่อยากจะลองใช้วิธีเดียวกับผม เอาไปใช้ได้เลยนะครับ ไม่สงวนสิทธิ์ ผมแนะนำให้ลองเลือกร้านอาหารที่ยุ่งๆในวันศุกร์ของประเทศที่คุณเลือกไป และบอกพนักงานว่า Can I get a table for one please ? :)