Caphanaum (Capernuaum การเขียนชื่ออีกแบบที่ใช้ในการโปรโมทแบบสากล) กำกับโดย Nadine Labaki ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายไปเมื่อปี 2018 และทางลิโด้ได้นำกลับมาฉายให้เราได้ดูกันช่วงปลายปีที่ผ่านมาในกิจกรรม LIFEis Beautiful - No Boundaries for Sharing น่าเสียดายมากที่ตอนนั้นผมไม่มีเวลาไปดูในโรงหนัง แต่โชคดีที่ในช่วงปลายเดือน พฤษภาคมนั้น ได้มีกิจกรรม "เทศกาลภาพยนตร์สารคดีฝรั่งเศสออนไลน์ FRENCH DOC DAYS" ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ดู ภาพยนตร์และสารคดีหลายเรื่องผ่าน Viemo ไปแบบฟรี ๆ ซึ่งนั่นรวมไปถึง Capernaum ด้วย ต้องบอกเลยว่าไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนทำให้ผมรู้สึกจุกและหดหู่กับโครงสร้างของสังคมได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ดู Nobody Knows กับ A Boy in the Striped Pajamas มา ผมให้ระดับความเลวร้ายที่กระทบต่อจิตใจเท่า ๆ กับสองเรื่องนั้นเลย ในด้านของเวทีประกวดรางวัลนั้นก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการชนะรางวัล Jury Prize ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์รวมถึงเวทีลูกโลกทองคำ และยังเป็น 1 ใน 5 ผู้เข้าชิงหมวดภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์อีกด้วย รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ก่อนได้ที่ - Youtube Capernaum Official Trailer ตอนนี้นั้นได้หมดช่วงกิจกรรมไปแล้วแต่ว่าทุกคนยังสามารถรับชมเรื่องนี้พร้อมภาพยนตร์และสารคดีอื่น ๆ ได้อีกมากมายจาก DocClub ผ่าน Viemo ได้แล้ววันนี้ เพียงเรื่องละ $1.99 เท่านั้น โดยสามารถดูได้ภายในเวลาที่กำหนดคล้าย ๆ กับการเช่าหนังผ่าน Itunes ลองคลิกเข้าไปเลือกชมหนังก่อนได้ครับ - Viemo DocClub เหตุผลเดียวเลยที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายปีก่อน คือประโยคเด็ดจากตัวอย่างที่เหมือนหมัดหนักต่อยเข้าท้องคนดูเต็ม ๆ "ผมต้องการฟ้องพ่อแม่ผม...ที่ทำให้ผมเกิดมา" ผมที่นั่งดูตัวอย่างผ่านหน้าจอโทรศัพท์ก็รู็สึกหวิว ๆ กระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก จินตนาการเรื่องราวต่าง ๆในหัวมากมายว่าเด็กคนนี้ต้องพบเจออะไรบ้าง และสัญญากับตัวเองว่าสักวันต้องชมภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้ โดยฉากเปิดของภาพยนตร์นั้นเป็นการถ่ายสภาพของสลัมเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน ที่กลุ่มเด็กมากมายต่างวิ่งเล่นกันด้วยปืนและอาวุธกระดาษที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง วิ่งไล่กันสนุกสนาน เต็มไปด้วยจินตนาการและความทรงจำมากมาย แต่ไม่ทันไรภาพยนตร์ก็ตัดภาพมาที่ความเป็นจริงของสังคมในท้ายที่สุด ตัวเอกอย่าง Zain (รับบทโดย Zain Al Rafeea) ที่ต้องแบกรับภาระครอบครัวทั้งหมดด้วยการทำงานในร้านขายของชำ รวมถึงขายน้ำผลไม้กับน้อง ๆ คนอื่นริมถนน ส่วนของกินวัน ๆ ก็ได้จากเจ้าของร้านที่เขาทำงานบ้าง ถ้าได้น้อยไปเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากต้องขโมยเพิ่ม สถาบันครอบครัวที่ควรจะเป็นเหมือนกับที่พึ่งของเด็กวัย 12 นั้นกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยคำกร่นด่า ดูถูก และความเกลียดชัง จนมันถึงจุดที่ Zain ตัดสินใจหนีออกมาเพื่ออะไรที่ดีกว่า จนมาเจอกับ Rahil (รับบทโดย Yordanos Sheferaw) ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ทำงานเป็นพนักงานทำคามสะอาดอยู่ในคาร์นิวัลเล็ก ๆ หาเช้ากินค่ำ พร้อมทั้งยังต้องกระเตงลูกของเธอที่อยู่ในช่วงวัยทารกมาแอบในห้องน้ำที่ทำงานทุกวันเพราะไม่มีใครเลี้ยงดู การเจอกันของทั้งสองทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมากมากมาย ทั้งสุข เศร้า เจ็บปวด และความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อระบบโครงสร้างของสังคมที่ทำให้เรารู้ว่ายังมีเด็กอีกหลายคน หรือมนุษย์อีกลหลายชีวิตที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ ท่ามกลางความืดมิดไม่ต่างจากตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้ Zain กับ Rahil เหมือนกันคือการที่พวกเขาทั้งสองนั้นถูกสังคมมองข้าม กลายเป็นเหมือนมนุษย์ล่องหนที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบโดยผู้ที่มีอำนาจมากกว่าในสังคม ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกเขานั้นไม่ได้เลือกที่จะมาอยู่ในสภาพนี้แต่เป็นเพราะสังคมไม่ได้มอบโอกาสอะไรมาให้เลย อีกทั้งยังย้ำว่ามันก็คงจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีใครเข้ามาแก้ไขถึงปัญหาตรงนี้อย่างจริงจัง สำหรับ Zain แล้ว Rahil คือภาพแทนของแม่ผู้ที่ให้ความรักความห่วงใยกับเขามากกว่าแม่แท้ ๆ เสียอีก ในทางกลับกัน Zain ก็รู้สึกเหมือนว่าเขาสามารถช่วย Rahil เลี้ยงดูเด็กทารกคนนี้ให้เติบโตได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่เขานั้นไม่สามารถทำได้ในครอบครัวของตนเพราะด้วยสภาพของครอบครัวที่มันกร่อนไปจนถึงข้างใน ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเจาะไปที่ประเด็นของเรื่องการค้ามนุษย์อีกด้วย โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงที่มักจะตกเป็นเหยื่อของคนชั่ว พวกเธอถูกวาดฝันไว้ด้วยภาพที่สวยงามของอนาคตที่ดีกว่า การใช้ชีวิตในเมืองใหม่ที่ยุโรปหรืออเมริกา การได้มีเตียงนุ่ม ๆ ไว้นอนและน้ำอุ่น ๆ ไว้อาบ แต่มันคือการขายภาพลวงตาที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง เพราะท้ายสุดแล้วพวกเธอก็ถูกจับไปไว้รวมกันในโกดังรอวันส่งออกไม่ต่างจากสินค้า ฉากพวกที่เล่าเรื่องพวกนี้เป็นอีกฉากที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตา เพียงแค่จินตนาการว่าตัวผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบพวกเธอก็ทำให้โลกนั้นมืดไปเลย มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้กับคน ๆ นึง และมันเป็นอะไรที่อำมหิตที่สุดที่มนุษย์คนนึงสามารถตัดสินใจที่จะทำมันลงไปเพียงเพราะแค่เงินนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่รับชมที่บ้านแต่ทำให้ผมต้องปล่อยน้ำตาออกมา เพราะผมเชื่อมาตลอดว่าภาพยนตร์จะทำงานสูงสุดกับคนดูได้จนร้องไห้นั้นมันต้องมีองค์ประกอบอื่นช่วยเช่น ไฟที่มืดมิดในโรงหนัง เสียงจากลำโพงรอบทิศ และความรู็สึกที่เราหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่การดูผ่านจอคอมพิวเตอร์ในขณะที่ใส่หูฟังซึ่งก็ไม่ได้เสียงดังมาก ยังทำงานกับคนดูได้ขนาดนี้ มันรู้สึกแปลก ๆ แบบบอกไม่ถูก ผมรู้สึกโกธรและเกลียดทุกอย่างที่ทำให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์อีกคนได้ ซ้ำแล้วยังรู้สึกผิดที่ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนนึงเราทำอะไรไม่ได้มากนอกจากรับฟังเรื่องราวของพวกเขาผ่านตัวผู้กำกับและนักแสดง เพื่อเป็นกระบอกเสียงต่อให้คนอื่นในสังคมได้รู้ถึงการมีอยู่ของปัญหาการทำงานเบื้องหลังของผู้กำกับอย่าง Nadine ก็ต้อถือว่าเธอทุ่มเทเวลาอย่างมากในการหาข้อมูลและเรียนรู้เรื่องราวชีวิตของเด็กในสถานที่แบบนั้นให้ได้มากที่สุด เพราะเธอต้องการที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้ออกมาได้อย่างจริงและถูกต้องที่สุด จากการสัมภาษณ์ตอนที่ Nadine นั้นลงพื้นที่นั้น เธอพบว่ามีเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอยู่กลายคน หรือบางคนก็โดนลักพาตัวเพื่อนำไปขาย แต่ที่น่าตกใจครอบครัวของพวกเขานั้นไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำซึ่งเธอมองว่าการสร้างภาพยนตร์ครั้งนี้ของเธอไม่ได้เป็นแค่หนัง แต่มันคือสารบางอย่างถึงคนทั้งโลกเพื่อชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ในส่วนของประโยคที่ Zain จะฟ้องพ่อแม่ในหนังนั้น เธอก็ได้ประยุกต์จากเรื่องจริงจากการที่เธอสัมภาษณ์เด็กตามถนนของเบรุต เมื่อเธอถามพวกเขาว่า "พวกเธอมีความสุขที่ได้มีชีวิตอยู่มั้ย" และเด็กส่วนใหญ่ตอบกลับมาว่า "ไม่อ่ะ อยากตายซะมากกว่า" แค่เพียงบทสนทนาสั้น ๆ มันก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าสภาพสังคมที่นั่นไม่ได้เหมาะและเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเด็กเลย ส่วนนักแสดงนำเราในชีวิตก็มีชื่อว่า Zain เหมือนกัน สภาพความเป็นอยู่นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเท่าไหร่ แต่ยังดีที่เขามีครอบครัวที่ดีไม่เหมือนกับบ้านที่เราเห็นในหนัง โดยหลังจากการฉายหนังที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์นั้น Zain และครอบครัว ก็ได้รับการช่วยเหลือ UNHCR ที่พาพวกเขาไปยังบ้านใหม่ในประเทศ Norway พร้อมทั้งยังมอบโอกาสทางการศึกษาให้ทั้งครอบครัวอีกด้วย มาถึงช่วงท้ายของบทความละนะครับ ผมอยากจะขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้เพราะมันเป็นเนื้อหาที่ผมอยากจะกระจายต่อให้คนอื่นได้รู้มาก ๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น คนเหล่านี้ไม่ได้รับโอกาสเพราะตกอยู่ในสถานะยากจน บางคนทำไม่ได้แม้กระทั่งงานเพื่อหาเงินเพราะไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน รวมถึงบางครอบครัวนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติในการเลี้ยงดูลูกแต่อย่าใดจนเด็กที่โตมาก็ซึมซับสิ่งที่เขาเคยโดนกระทำ และส่งสิ่งแย่ ๆ เหล่านั้นไปยังรุ่นต่อไป จนมันเกิดเป็นวัฎจักรที่ไม่จบไม่สิ้น ถ้าจะให้ผมแนะนำจริง ๆ คงต้องบอกว่า อยากให้รอจนกว่าลิโด้จะเอากลับมาฉายอีกรอ เพราะความรู้สึกมันจะเพิ่มขึ้นเป็นอีกสิบ ๆ เท่า ส่วนถ้าใครอยากที่จะรับชมเลย ตอนนี้สามารถรับชมได้แล้วทาง Viemo ซึ่งยังมีภาพยนต์และสารคดีเรื่องอื่น ๆ ให้อีกมากมายเพียงเรื่องละ $1.99 แล้วเจอกันใหม่บทความหน้านะครับ สวัสดีครับ ขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก IMDBภาพหน้าปก/ ภาพประกอบที่ 1/ ภาพประกอบที่ 2/ ภาพประกอบที่ 3/ ภาพประกอบที่ 4