ตาผมเป็นต้นเชอร์รี่ เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม สีเขียวพาสเทล รูปปกเป็นต้นเชอรร์รี่ที่มีเงาเป็นคุณตาแก่ ๆ พออ่านชื่อเรื่องแล้วด้วยความสงสัยว่าคุณตาเป็นต้นเชอร์รี่ได้อย่างไร เป็นผีหรือเปล่า บวกกับคำโปรยตรงหน้าปกที่ว่า “คนเราจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ใครคนหนึ่งยังรักเรา” คำนี้มันจุกเข้ามาในใจมาก ๆ เราจึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือมานั่งอ่านเล่น ๆ แต่พออ่านจบก็รู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้ดีใช่เล่นทีเดียว จึงย้อนอ่านหน้าปกอีกรอบ เห็นชื่อเป็นภาษาอิตาลีว่า Mio nonno era un cillegio จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นวรรณกรรมสัญชาติอิตาลี เขียนโดย อันเจลา นาเน็ตตี แปลเป็นไทยโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ และจัดพิมพ์โดยแพรวเยาวชน ในเครือบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง อยู่ในหมวดของวรรณกรรมเยาวชน หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่โปรยปกได้น่าสนใจว่า "คนเราจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ใครคนหนึ่งยังรักเรา" ขอบอกว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มาแล้วกว่า 10 ภาษาทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น สเปน เยอรมัน ดัตช์ ฮังการี เกาหลี ไต้หวัน ลิทัวเนีย รวมถึงภาษาไทยด้วยจ้า ^^ ส่วนเนื้อหาจะเล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง นามว่า “อันโตนีโอ” หรือ โตนีโน่ วัย 6 ขวบ อาศัยอยู่ในครอบครัวหนึ่งที่พ่อกับแม่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากถึงมากที่สุด คือ ครอบครัวแม่อยู่ชนบท มีฟาร์ม ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ต่าง ๆ ส่วนครอบครัวพ่อก็คือเป็นคนเมือง ดังนั้นเมื่อทั้งสองแต่งงานกัน แม่ก็ย้ายมาอยู่กับพ่อ แน่นอนว่าที่อยู่ หรือบ้านของโตนีโน่ที่อาศัยเป็นกิจวัตรคือ Apartment แม้โตนีโน่จะใช้ชีวิตแบบที่ค่อนข้างสุขสบายอยู่บ้านในเมือง แต่สิ่งที่เขาโหยหา และโปรดปรานคือการไปใช้ชีวิตแบบ Slow life ที่ไร่ของคุณตา คุณยาย ในหนังสือมีภาพประกอบด้วยนะ น่ารักมาก ๆ ในเรื่องนี้จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวเป็นสำคัญ เน้นให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ปู่ย่าตายาย และเด็ก ความคิดหลาย ๆ อย่างที่ปรากฏในเรื่องก็เป็นความคิดแบบเด็ก ๆ เพราะเล่าผ่านมุมมองของเด็ก ที่สำคัญคือ อ่านแล้วจะเห็นความแตกต่างของเด็กกับผู้ใหญ่ได้อย่างชัดเจนเลย เช่น ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข เลยเข้าใจไปเองว่า การอาศัยอยู่ในเมือง การเรียนโรงเรียนในเมือง การใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ ในเมือง เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กมีความสุข แต่เปล่าเลย เพราะช่วงเวลาที่มีความสุขสำหรับเด็ก คือการได้วิ่งเล่น ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักต่างหาก แถมอีกรูป เรียกน้ำย่อยก่อนอ่าน สำหรับเรื่องราวในวรรณกรรมเรื่องนี้เรามองว่ามันน่าสนใจ แม้จะเป็นวรรณกรรมแปลจากชาติยุโรป แต่หลาย ๆ เรื่อง เรามองว่ามันคล้ายกับบริบทสังคมไทยเรานะ หรืออาจเป็นเพราะผู้แปล แปลให้สอดคล้องอันนี้ไม่อาจทราบได้ แต่ก็ขอบอกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่แปลได้ดีมาก การใช้สำนวนภาษาต่าง ๆ มีความเหมาะสม อ่านแล้วไม่สะดุด สามารถอ่านซ้ำได้อีก เพราะมันมีจุดที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิต และทัศนคติของตัวละครที่มีความเป็นอยู่แตกต่างกัน ได้เห็นวิธีการคิด การแก้ปัญหาของตัวละครที่บางครั้งก็ออกมาแบบบูด ๆ เบี้ยว ๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เห็นว่า ในชีวิตจริงมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญในเรื่องมีจุดเปลี่ยนอยู่หลายตอน ก็ทำให้เห็นอีกว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ช่วงเวลา ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงจะสร้างบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ และหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเราจะโตขึ้น เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ในส่วนนี้ ส่วนนี่เป็นปกหลังของหนังสือ เป็นตอนที่บอกได้แค่ว่า "มันจับใจเรามากจริง ๆ " เมื่อลองย้อนดูตัวเอง เราก็พบว่ามันเป็นความจริง บางทีการสอนตรง ๆ ด้วยคำพูด หรือแสดงให้เห็นด้วยการกระทำ อาจใช้ไม่ได้กับทุกเรื่อง บางเรื่องที่มันลึกซึ้ง ผู้พ่อแม่ หรือปกครอง ก็ควรจะมีตัวช่วยในการบอก หรือสอน ซึ่งเราเองที่ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ก็อยากจะแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้ให้หลาย ๆ คนรับพิจารณาในการซื้อให้บุตรหลาน หรือซื้อให้ตัวเองอ่าน ต้องบอกว่ามันเป็นหนังสือที่ เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี เพราะเรื่องนี้ไม่ได้สอนแค่เด็ก แต่ในบางเรื่องก็สอนผู้ใหญ่ด้วย จะเรียกว่าสอนทีเดียวก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นหนังสือที่ทำให้เรามองเห็นความคิดของเด็กในยุคปัจจุบันละกัน แม้ผู้ใหญ่ทั้งหลายจะเคยเป็นเด็กมาก่อนก็จริง แต่เราต้องอย่าลืมว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน หลาย ๆ เรื่องก็มักจะเปลี่ยนตามไปด้วย และเราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนกันไปตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน... นี่เป็นภาพปกหนังสือ(อาจจะ)ทุกเวอร์ชั่นที่เรารวบรวมมา ซ้ายมือเป็นฉบับแปลไทย ส่วนถัดไปทั้งหมดเป็นภาษาอิตาลี