การสอบเทียบวุฒิถือว่าเป็นสิ่งที่มีมานานตั้งแต่ในอดีตแล้ว แต่ปัจจุบันการสอบเทียบก็มีการเปลี่ยนไปค่อนข้างที่จะเยอะพอสมควร โดยวันนี้ RabbitEdu จะมาแนะนำทางเลือกใหม่ สำหรับน้องๆที่มีความสนใจอยากจะจบม. 6 ให้ไวแล้วต้องการข้ามไปเรียนมหาลัยอย่างรวดเร็วทันใจ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าการสอบเทียบ GED มันคืออะไรนะGED คืออะไร?GED มีชื่อเต็มว่า General Educational Development เป็นวุฒิการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ผู้ที่สอบผ่านแล้วได้รับวุฒินี้จะถือว่าเป็นบุคคลที่จบม.ปลายแล้วนั่นเองค่ะ กระทรวงการศึกษาของประเทศไทยได้มีการรับรองวุฒิ GED เรียบร้อยแล้ว รับรองอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยน้องๆสามารถใช้วุฒิ GED ในการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ แต่น้องๆต้องเช็คกับทางคณะและมหาลัยอีกรอบนะคะว่ารับวุฒิ GED ไหม GED ต้องสอบวิชาอะไรบ้างการสอบ GED น้องๆจะต้องสอบทั้งหมด 4 วิชาด้วยกัน โดยจะประกอบไปด้วย Mathematical, Science, Social Studies และ Reasoning Through Language Arts หรือเรียกสั้นๆ ว่าวิชา RLA โดยข้อสอบ GED จะเน้นการคิดวิเคราะห์ เน้นการนำความรู้พื้นฐานในชีวิตจริงมาประยุกต์ใช้ โดยผู้เข้าสอบจะต้องมีการใช้หลักการเชื่อมโยง การคิดวิเคราะห์ และใช้ตรรกะ การสอบทั้ง 4 วิชาสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด คะแนนแต่ละวิชาของ GED มีคะแนนเต็ม 200 คะแนน โดยการที่จะได้วุฒิ GED มานั้น น้องๆจะต้องสอบให้ได้ 145 คะแนนขึ้นไปในทุกวิชา ถึงจะถือว่าสอบผ่าน โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเตรียมตัวสอบโดยซื้อหนังสือ Kaplan 2022-2023 ในการเตรียมตัวสอบ โดยผู้เขียนอ่านแค่หนังสือเล่มนี้เล่มเดียวแล้วสอบผ่านเลย ส่วนตัวรู้สึกว่า หนังสือ Kaplan 2022-2023 ให้เนื้อหาและแบบฝึกหัดมาค่อนข้างที่จะครบ แต่ถ้าใครรู้สึกว่ายังอยากทำแบบฝึกหัดมากกว่านี้อีก ทาง Youtube มีสอนฟรีทั้ง 4 วิชาเลยค่ะ ส่วนใหญ่แล้วแนะนำให้ดูช่องของชาวต่างชาติที่สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพราะจะสอนละเอียดมากกว่าค่ะ นอกจากอ่านเนื้อหาและทำโจทย์แล้ว แนะนำหลังอ่านเนื้อหาให้ทำสรุปในเรื่องที่อ่านเสร็จแล้วด้วยนะคะ เพราะการทำสรุปจะทำให้เราได้รู้ใจความเนื้อหาที่สำคัญ แถมยังเป็นการทวนความเข้าใจให้ตัวเราเองไปในเวลาเดียวกันค่ะ ใครสอบ GED ได้บ้างน้องๆสามารถสอบได้เมื่ออายุ 16 ปีขึ้นไป โดยจะต้องมีจดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง (consent form) แต่ถ้าผู้สมัครมีอายุ 18 ปีขึ้นไปไม่ต้องส่งจดหมายยินยอมจากผู้ปกครองค่ะรอบสอบ GEDมีรอบสอบทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ และเมื่อสอบเสร็จน้องๆจะสามารถรู้ผลสอบได้เลย โดยที่ไม่ต้องรอเป็นเดือน ยกเว้นวิชา RLA ที่เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่อาจจะต้องรอผลนานกว่าวิชาอื่น เพราะต้องมีการตรวจ Essay ของผู้สอบ ส่วนตัวแล้วผู้เขียนรอผลไม่นานทั้ง 4 วิชาเลยค่ะ สอบเสร็จออกจากห้องสอบ มีอีเมลแจ้งบอกคะแนนเลย ถือว่าเป็นการสอบดีมากจริงๆค่ะ ศูนย์สอบ GED Paradigm Language Institute เพลินจิตPearson Professional Centers: BB Building อโศกต่างจังหวัดที่มีศูนย์สอบ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ตากค่าสมัครสอบ GED ค่าสมัครสอบ GED มีค่าสมัครอยู่ที่ 75 USD ต่อวิชา ประมาณ 2,500 บาท โดยค่าสอบจะไม่คงที่เพราะอัตราการเพิ่ม ลด ของค่าเงิน รวมค่าสมัครสอบ 4 วิชาคิดเป็น 300 USD เป็นไงบ้างคะ กับการสอบเทียบ GED แน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่น้องๆอย่าลืมวางแผนและสอบถามคณะและมหาลัยที่อยากจะเข้านะคะว่า รับวุฒิ GED ไหม ถ้าคำตอบคือรับ น้องๆ ก็ลุยเตรียมสอบสอบ GED ได้เลยค่ะ ทุกทางเลือกมีข้อดีข้อเสียเสมอส่วนตัวแล้วเหตุผลที่ผู้เขียนตัดสินใจสอบ GED เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลาในการเรียนมัธยมปลายถึง 3 ปี ในเมื่อมีตัวช่วยย่นเวลาในการเรียนแล้ว ทำไมเราไม่ลองสอบดูล่ะ สุดท้ายก็ตัดสินใจสอบ ปัจจุบันก็ได้รับวุฒิ GED เรียบร้อยแล้วค่ะ ประโยชน์ของ GED หลักๆเลยคือช่วยให้เราประหยัดเวลาในการเรียนแต่ว่าสำหรับคนที่อยากจะเข้าแพทย์ ทันตะ สัตวแพทย์ หรือแม้แต่คณะสายวิทย์สุขภาพ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่รับวุฒิ GED นะคะ คณะที่รับ GED ส่วนใหญ่จะเป็นคณะสายศิลป์ค่ะ ก่อนจะตัดสินใจสอบ GED ผู้เขียนย้ำอีกครั้งนะคะ ให้เช็คกับทางคณะก่อนว่ารับวุฒิ GEDไหม เพราะถ้าเราสอบเสร็จแล้วมารู้ทีหลังว่าคณะที่อยากเข้าไม่รับ อาจจะทำให้เราหมดกำลังใจค่ะ ดังนั้น สอบถามคณะที่อยากเข้า วางแผนการสอบให้ชัดเจน แค่นี้น้องๆก็จะสามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้แล้วค่ะเครดิตรูปภาพหน้าปกและรูปภาพประกอบบทความ : จาก canvaอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !