ภาพเรือนไม้โบราณกับผ้าม่านสีขาวฉลุลายพลิ้วตามลมดูน่ารัก ที่เราเห็นเพื่อนๆ ต่างโพสต์กันในโซเชียลมาสักพักแล้ว ทำให้คิดว่าต้องหาโอกาสไปนั่งจิบกาแฟที่นี่ให้ได้สักครั้ง "บ้านขนมปังขิง" เหมือนความคิดนี้จะส่งเสียงดังไปถึงเพื่อนสาว จึงดึงดูดให้นางส่งข้อความผ่านไลน์มาชวน "ริน...ไปบ้านขนมปังขิงกัน" "อืม...ไปดิ...กำลังอยากไปอยู่พอดี" "เคร...งั้นพรุ่งนี้มารอที่ร้านนะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน" "โอเคร..." ถึงวันนัดเราสองคน เลือกนั่งรถตุ๊กตุ๊กไทยแลนด์มาจากวรจักรในราคา 50 บาท ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงร้าน "บ้านขนมปังขิง" ซึ่งอยู่ในซอยหลังโบสถ์พราหมณ์ ใกล้ ๆ กับเสาชิงช้าเลย เดินเข้าซอยมาแค่นิดเดียวเท่านั้นร้านอยู่ทางขวามือ เมื่อเดินเข้ามาในร้าน พนักงานก็ออกมาต้อนรับพร้อมแนะนำเครื่องดื่มและขนมให้เราสองคน ที่นี่มีทั้งขนมไทยและเบเกอรี่ มีให้เลือกทั้งแบบเป็นเซ็ทและแบบแยกชิ้น เยอะจนเราสองคนงงไปหมด ^^' วันนั้นเราไปถึงกันก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เพื่อนอยากกินข้าวเหนียวมะม่วง เราอยากกินเค้ก จึงตัดสินใจเลือกชุด "บัวทอง" ตามคำแนะนำของน้องพนักงาน ตอนพนักงานยกมาเสิร์ฟ สองสาวตื่นเต้นกันมากทีเดียว สวยงาม วิจิตร และคิดไปด้วยว่า จะกินหมดมั๊ย :) ในชุดบัวทองนี้ มีข้าวเหนียวมะม่วง 1 ชุด, เค้ก 1 ชิ้น, ชาร้อน 1 กาและเครื่องดื่มเย็น 1 แก้ว (หากมาคนเดียวจะสั่งเฉพาะน้ำกับขนม ไม่เป็นเซ็ทก็ได้ค่ะ) เนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว เราจึงเลือกชาร้อนแทนกาแฟที่ตั้งใจว่าจะมาชิมในตอนแรก ส่วนเค้กเราเลือก "แมคคาเดเมียชีสเค้ก" พอได้จิบชาแล้ว รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกชา ชาอะไรไม่รู้เราลืมถาม แต่หอมมากกกกก จิบคู่กับชีสเค้กและข้าวเหนียวมะม่วง คือเข้ากันได้ดี อร่อยมากม๊ากกกก... เรือนไม้นี้มี 2 ชั้น แบ่งสัดส่วน จัดมุมไว้รองรับได้อย่างน่ารัก ไม่ว่าจะมา 2 คนหรือมาเป็นกลุ่มใหญ่ เราไปเดินชมเรือนไม้เก่าหลังนี้กันก่อน เดี๋ยวกลับมากินขนม จิบชาต่อ บ้านขนมปังขิง เรือนไม้เก่าหลังนี้มีประวัติที่น่าสนใจมากทีเดียว โดยเริ่มจากที่ อำแดงหน่าย (สกุลเดิมคือ สกุลพราหมณ์) ภรรยาของรองอำมาตย์โท ขุนประเสริฐทะเบียน (ขัน) ได้ซื้อที่ดินเปล่าขนาด 47 ตร.วา จากหลวงบุรีพิทักษ์ ต่อมาขุนประเสริฐ ได้สร้างเรือนขนมปังขิงนี้ขึ้นและเป็นผู้ออกแบบสัญญลักษณ์ประจำตัว แกะสลักลายไม้วงกลมเขียนว่า "ขัน" ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งสัญญลักษณ์นี้จะติดไว้บริเวณเหนือช่องลมประตูและหน้าต่างของตัวบ้าน เรือนไม้เก่าหลังนี้ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงลูกหลานในปัจจุบันคือ คุณธนัชพร คุณารัตนอังกร (ลูกสาวท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านขุนประเสริฐทะเบียน) แม้จะผ่านการบูรณะ ซ่อมแซมมาหลายครั้งแต่ยังคงรักษาสภาพของบ้านเอาไว้ให้มากที่สุด ตั้งแต่เนื้อไม้ บานประตู หน้าต่าง บานกระทุ้ง หรือแม้แต่บานพับ ล้วนเป็นของเดิมในอดีตทั้งสิ้น รวมถึงผนังช่องลม ลายฉลุต่าง ๆ ก็ไม่มีการเคลือบสี ขัดสีใด ๆ เพียงแค่ยกฝ้าเพดานให้สูงขึ้นเพื่อให้อากาศปลอดโปร่งเท่านั้น ด้วยลวดลายฉลุที่สวยงาม ละเอียดอ่อน ดูคล้ายคลึงกับ "ขนมปังขิง" หรือคุ้กกี้ที่ชาวยุโรปนิยมทานในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จึงเป็นเอกลักษณ์ของเรือนไม้เก่าหลังนี้ จนถูกเรียกขานกันว่า "เรือนไทย สไตล์ฝรั่ง" เราสองคนดื่มด่ำกับบรรยากาศเรือนไม้เก่าหลังนี้กันเต็มที่แล้ว ก็กลับมานั่งจิบชา กินขนมกันต่อ อีกหนึ่งความตั้งใจของผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือ ต้องการให้ผู้ที่ชื่นชอบบ้านไทย ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ได้มีโอกาสเข้ามาชื่นชมความงามของตัวบ้าน ด้วยบ้านลักษณะนี้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ 4 นิยมสร้างในหมู่ คหบดี ขุนนาง และชนชั้นกลาง ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน เพราะสถาปัตยกรรมแบบนี้ มักจะถูกขายหรือรื้อทิ้งไปตามกาลเวลา โดยส่วนตัวในตอนแรกเราคิดว่าราคาขนมและเครื่องดื่มของที่นี่ค่อนข้างสูงไปนิด แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจนี้ กับสิ่งที่เราได้รับ เราคิดว่าก็คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป กับการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน พูดคุยถามทุกข์สุขตามประสาเพื่อนเก่า ในสถานที่กึ่งพิพิธภัณฑ์ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแบบนี้ เราสองคนนั่งจิบชาคุยกันจนชาหมดกา ฟ้ามืดแล้วถึงเวลากลับบ้านเสียที ทางร้านนำข้าวเหนียวมะม่วงใส่กล่องให้เรานำกลับบ้านด้วยเนื่องจากทานไม่หมดจริงๆ :) หากใครที่กำลังมองหาสถานที่สงบ ๆ นั่งคุยสบาย ๆ กับเพื่อนหรือกับคนที่รัก ลองมาที่บ้านขนมปังขิง ดูนะคะ ร้านเปิด 11.00-20.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ค่ะ ขอให้มีความสุขกับการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหรือกับคนที่รักนะคะ :) ขอบคุณแหล่งอ้างอิงข้อมูลประวัติบ้านขนมปังขิงจาก www.bkkmenu.com ติดตามแฟนเพจผู้เขียนได้ที่ : facebook.com/angrindiary