เราอยากจะเล่าเรื่องประสบการณ์ในการเขียนฟิคให้เพื่อนต่างชาติอ่าน แต่ก่อนอื่นในบทความนี้เราอยากแนะนำว่าแฟนฟิคมันคืออะไร หลายๆคนเข้าใจว่ามันคือ นิยายรักที่แฟนคลับแต่งถึงตัวละครหรือคนดังที่ชอบ แต่ความจริงแล้วมันคือการที่แฟนคลับอยากปรับเปลี่ยนโครงเรื่อง (plot) เดิมๆให้เป็นไปตามความต้องการของผู้แต่ง (แนวรักโรแมนติกอาจจะเล่นบทบาทสำคัญในการเข้าใจความหมายของแฟนฟิค แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป) หรือบางทีเป็นการยืมตัวละครที่มีอยู่จริงมาดัดแปลงใหม่โดยใส่ตัวผู้แต่งหรือผู้อ่านลงไปด้วยการเขียนแฟนฟิคมีหลากหลายเทคนิคและหลายประเภทมาก ตัวอย่างที่เคยเห็นเคยอ่านมาบ้างก็จะมี:1. เทคนิคอันนี้เป็นที่คุ้นเคยของนักอ่านมาก มีเขียนเกือบทุกๆฟิคที่เคยอ่านมาเลย หลายคนอาจจะเคยเห็นชื่อเรื่องที่มี “ชื่อตัวละคร X Reader” กัน สิ่งนั้นก็คือ Reader-insert เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่ 2 โดยตัวเอกของเรื่องก็คือใครไม่ได้นอกจากตัวผู้อ่านเองและมักจะถูกจับคู่กับหนึ่งในตัวละคร (หรือสองขึ้นไป แล้วแต่ผู้แต่ง) มันเป็นการเติมเต็มความต้องการของผู้อ่านที่กำลังอินกับเรื่องต้นฉบับอยู่ ง่ายๆเลยคือ อยากให้ผู้อ่านได้ฟินกับเนื้อเรื่องนั้นเอง2.ส่วน Self-insertion ก็จะเหมือน Reader-insert เลย เพียงแต่ว่า เป็นการแทรกตัวผู้แต่งลงในเรื่องที่ตนแต่งเอง อาจจะมาในรูปแบบที่ชัดเจนด้วยการใส่ชื่อตัวเองลงไปในเนื้อเรื่อง หรือแอบใส่ตัวเองเข้าไปโดยใช้ตัวละครแทนที่เรียกกันว่า Original Character (OC) แปลง่ายๆเลยคือ ตัวละครดั้งเดิมหรือตัวละครแทน ที่สร้างขึ้นโดยผู้เขียนเอง มักจะเป็นตัวละครที่ไม่มีอยู่จริงและไม่ปรากฏในสื่อต้นฉบับ ส่วนใหญ่จะเป็นการที่นักเขียนอยากจะบอกให้ผู้อ่านให้โลกได้รับรู้ว่า “ตัวละครนี้ เราจองนะ”3. อีกอันที่ป๊อปในหมู่ฟิคก็คือ Alternate Universe (เรียกสั้นๆว่า “AU”) เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องดั้งเดิมหรือองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งในงานต้นฉบับ อะไรจะเกิดขึ้นก็ได้อาจเปลี่ยนฉาก สถานที่ โครงเรื่อง ประเภทเรื่อง (จากการผจญภัยเป็นแนวโรแมนติก จากแนวชีวิตประจำวันเป็นแนวสยอง) หรือเปลี่ยนเป้าหมายของเรื่อง ประวัติความเป็นมาของตัวละคร (ตัวละครจากที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอาจจะกลายเป็นแวมไพร์ ตัวละครที่ถูกฆ่าไปกลับถูกช่วยชีวิตไว้ก็เป็นไปได้) แน่นอนแล้วเนื้อเรื่องแบบ AU สามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ของนักเขียนได้อย่างมาก4. One-shot หรือบางครั้งเรียกว่า Drabble คือ แฟนฟิคที่มีหนึ่งบท หนึ่งหน้า จะเป็นบทที่ยาวหรือสั้นก็ได้แต่ว่ามีแค่หนึ่งบทเท่านั้น เป็นการดำเนินเร็วๆไม่มีพล็อตย่อย (subplot) ไม่มีการให้ติดตามตอนต่อไป (cliff hanger) เป็นการแต่งจบในเรื่อง อาจจะเน้นฉากสำคัญ (climax) ฉากตอนจบบริบูรณ์ หรือฉากฟินจิกหมอน (โดยส่วนใหญ่จะเรียกว่า lemon shot, lemon – เป็นเรื่องที่ติดเรท เน้น love scene โดยที่มาของคำนี้ มาจากอะนิเมะญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “Cream Lemon” ไม่เคยดูไม่เคยอ่านแต่ไม่แนะนำนะคะโดยเฉพาะกับเด็กๆ)[1]หลังจากที่เราได้อ่านหลายๆเรื่อง เราก็เกิดอยากลองแต่งเรื่องที่เป็นของเราเองบ้าง แต่ก่อนที่จะได้เขียน เราต้องศึกษาวิถีชีวิตของนักแต่งฟิค เรียนรู้คำสแลงคำศัพท์ในสังคมนี้:• Canon (แคนนอน) – หมายถึงการเป็นที่ยอมรับ หรือรู้จักกันอยู่แล้วอย่างเช่น พระคัมภีร์ไบเบิล หรือ โรเมโอและจูเลียตของวิลเลียม เชกสเปียร์ ในบริบทของสังคมฟิคก็จะมีความหมายที่เหมือนกัน มันหมายถึงสิ่งที่แฟนๆทุกคนยอมรับ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในต้นฉบับแล้วรับรู้กันทุกคน ยกตัวอย่างเช่น โดเรม่อนแต่ก่อนตัวสีเหลืองและมีหู สาเหตุที่ไม่มีหูและสีเปลี่ยนก็เพราะว่ามีหนูมาแทะหู โดเรม่อนเลยร้องห่มร้องไห้จนตัวเปลี่ยนสี (สีเหลืองแทนความสุข สีน้ำเงิน/ฟ้าแทนความเศร้า)[2]• Head canon (เฮดแคนนอน) - คือทฤษฎีหรือการตีความส่วนตัวของแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยของตัวละคร ประวัติของตัวละคร หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร โดยตีความจากหลักฐานในต้นฉบับหรือจากความรู้สึกที่ตัวแฟนคลับที่อยากให้เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎีที่ว่าโลกิยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากว่าโลกิเป็นเทพแห่งการหลอกลวงและการโกหก (God of Mischief) เลยยืนยันไม่ได้เลยว่าโลกิจะทำอะไรต่อ เขาแกล้งตายมาหลายครั้ง แล้วทำไมครั้งนี้จะไม่หยอกอีก[3]• Fanon (แฟนนอน) – เป็นการยำความหมายของแคนนอนและเฮดแคนนอนมารวมกัน มันคือทฤษฎีหรือสิ่งสร้างของแฟนคลับที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นการตีความที่อาศัยจากหลักฐานที่มีอยู่น้อยนิดหรือไม่มีเลยในต้นฉบับ บางครั้งอาจจะเป็นองค์ประกอบบางอย่างในแฟนฟิคดังๆที่ถูกหยิบใช้ซ้ำๆโดยนักเขียนคนอื่นๆจนกระทั่งเป็นเรื่องที่ยอมรับ อย่างเช่น ตัวละครสมมุติอย่าง Slender Man หรือ Jeff the Killer จาก Creepypasta[4] ตัวละครเหล่านี้ดังมากจนมีเรื่องราวตามหลัง (sequel) และแฟนอาร์ตเยอะ• Crack ship – แน่นอนในยุคนี้ใครๆก็รู้จักคำว่าชิปแล้ว มันคือการจิ้น การจับคู่คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง แต่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักคำว่า crack ship หรือ crack pairing เป็นคู่ชิปที่แปลกประหลาดไม่น่าจะเกิดขั้นได้ เหล่าตัวละครไม่เคยสุงสิงกัน มีความแตกต่างกันทางสายพันธุ์ หรือนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คำว่า crack จะมีสองความหมายคือ รอยร้าวหรือสารเสพติด ซึ่งอาจตีความได้ว่าเรือมันต้องแตกแน่นอนไม่ว่าวันใดวันหนึ่งต่อซ่อมไปก็ไม่สวยงาม อีกตีความก็คือต้องเมายาขนาดไหนถึงจะจิ้นสองคน/สิ่งนี้ได้ อย่างเช่น “Captain America X Mulan” หรือ “Dragon X Car”หลังจากที่ทำความรู้จักโลกของแฟนฟิคแล้วไว้โอกาสหน้าจะมาเล่าถึงประสบการณ์ในการเขียนฟิคให้ชาวต่างชาติอ่าน เจอทั้งเรื่องสนุกๆทั้งตลกทั้งเครียดติดตามกันได้นะคะนักเขียนมือใหม่(?) ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ 1. ChibiTaryn, (2003). (Urban Dictionary)2. Ayumi Nakai, (2009). (Curiosite)3. Scrumtrellescent, (2019). (Reddit)4. เข้าใจว่าน่าจะมาจากคำว่า creepy + paste เรื่องสั้นสยองขวัญที่แพร่ตามอินเทอร์เน็ต (Creepypasta)Credit: รูปประกอบทุกภาพแต่งโดยนักเขียน จัดทำด้วยแอปฯ PicsArt