เทคโนโลยีเมื่อการมาถึงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ internet ที่ดูเหมือนว่ากิจวัตรแทบทุกกิจกรรมของมนุษย์จะพึ่งเทคโนโลยีนี้ ยกตัวอย่าง เดิมเราเคยมองว่า การติดต่อที่ห่างด้วยระยะทางมันมีต้นทุนสูงแต่ตอนนี้แม้จะเป็นการติดต่อในทุก ๆ รูปแบบอินเตอร์ลดต้นทุนได้อย่างมาก เช่น เดิมเราเคยส่งจดหมายไปแดนไกลโดยต้องไปซื้อแสตมป์ ลงทะเบียน ที่ ไปรษณีย์ โดยเฉพาะจดหมาย พูดได้คำเดียวว่ารอที่ตู้รับจดหมายหน้าบ้านตู้รับจดหมายแต่ปัจจุบัน แค่ ส่ง email พิมพ์ @ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายก็ส่งตรงไปยังผู้รับทันที คำถามคือความต้องการส่งจดหมาย (เอกสาร) จึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งการส่งจดหมายเป็นเรื่องคลาสสิกไปแล้ว เพราะทุกวันนี้การส่ง email เป็นเรื่องปกติ แล้วท้ายที่สุด การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ย่อมเข้ามาแทนที่การส่งจดหมายแบบเอกสาร กลายเป็นว่า จดหมายเอกสารเป็นเพียงแบบแผนของสัญญา/เอกสารทางราชการไปเพราะต้องการ "ลายมือชื่อ" เป็นสำคัญ ลายมือชื่อนอกจากวงการเอกสารจะได้รับผลกระทบจาก internet ล่าสุดวงการการเงิน-ธนาคารโดนคลื่นสึนามิทางเทคโนโลยี นับแต่เมื่อโลกใบนี้รู้จักบิตคอย โดยคุณซาโตชิ (นามแฝง) ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดการมาของ BTC นั้น เงินดิจิทัลดังกล่าวต้องการจะลดอำนาจของตัวกลาง เช่น สถาบันทางการเงิน และให้คู่ค้าพูดคุยกันเองผ่านระบบบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) ยิ่งไปกว่านั้น Smart contract เมื่อมันผนึกกำลัง กับ AI ยิ่งทำให้วงการการเงินสั่นสะเทือนเข้าไปใหญ่ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ เงินสกุลดิจิทัล กล่าวอย่างง่ายคือ การมาของเงินดิจิทัลทำให้การรับรู้ของคนไทยเปลี่ยนไปจากเดิม ยกตัวอย่าง บาทดิจิทัล ตามคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=G7MY4lNsrG8ผมเลยอยากสรุปดังนี้ว่า 1. บาทและบาทดิจิทัล เปลี่ยนจากสิ่งที่จับต้องได้ เช่น เหรียญ/กระดาษ เป็น ดิจิทัล2.E-payment เป็นวิธีการชำระเงิน ส่วน เงินดิจิทัล เช่น bath digital ไม่ใช่ e-payment แต่มันคือ สื่อกลางไว้ใช้แลกเปลี่ยนสินค้า-บริการ3. การผลิตเงินเป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ เอกชนทำไม่ได้ เพราะทุก ๆ ครั้งที่มีการพิมพ์เงิน ต้องมีทรัพย์สินหนุนหลังเพื่อให้เงินมันมีหลักประกันว่าสกุลเงินดังกล่าวมีเสถียรภาพ ในลักษณะเดียวกันบาทดิจิทัล ก็สมควรต้องใช้หลักการเดียวกัน กล่าวคือ3.1 ผลิตโดยแบงก์ชาติ 3.2 มีสินทรัพย์หนุนหลังทุกครั้ง (ทุนสำรอง) เช่น ทองคำ เพื่อไม่ให้ปริมาณเงินในตลาดมากเกินไปในระบบ -> เงินเฟ้อ เงินเหล่านี้เองที่จะเรียกว่า stable coin เช่น USD Yuan Yen Euro ฯ แต่ในยุคปัจจุบัน เรามักชินหูกับสกุลเงินดิจิทัล แต่ขออนุญาต ไปต่อฉบับหน้าว่า Stable coin มีกี่ประเภทอาจมีคนอยากทราบว่า ทำไมต้องมีสินทรัพย์มาหนุนหลัง/ค้ำประกัน/รับรอง พูดง่าย ๆ คือ ทำให้เงินเราไม่เป็นแบงก์กาโม่อนึ่ง เราต้องไม่ลืมว่า คนเราจะต้องการเงินหรือไม่นั้น นอกจากมูลค่าของตัวเลขบนเงิน มันมีอีกปัจจัยหนึ่งคือ "ความเชื่อมั่น(ของสังคม)" เจ้าตัวหลักทรัพย์ค้ำ/รับรอง/หนุนหลัง/ทุนสำรอง มันจะทำให้สกุลเงินต่าง ๆ บนโลก น่าเชื่อถือ แต่ USD อเมริกายกเลิกเรื่องหลักทรัพย์หนุนหลังไปแล้ว เพราะเงิน USD มันติดตลาดแล้ว = อยากจะพิมพ์ USD มามากเท่าไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังแล้ว หากพูดในระบบเงินดิจิทัล จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม USDT ถึงมั่นคงเพราะเอาไปผูกกับ USD ในอัตรา 1 ต่อ 1 แปลว่าทุก ๆ ครั้งที่มีการออกเหรียญ USDT จะต้องมีการเพิ่ม USD เข้าไปทุก ๆ ครั้ง ดังนั้นผมขอสรุปว่าเสถียรภาพของเงินดิจิทัลมันต้องพิจารณาว่า อะไรคือสินทรัพย์หนุนหลัง หรือ โครงการที่เหรียญดิจิทัลจะเข้าไปลงทุน เพื่อเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือครอง เพราะฉะนั้นนักลงทุนในเงินดิจิทัลจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาความเสี่ยงเพราะ "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" หนึ่งในการศึกษาที่ดีคือ อ่านบทความผมครับ หุหุ / แล้วเจอกันบทความหน้า - รู้แหล่ะอยากอ่านท้ายนี้ขอบพระคุณภาพ1.ปก โดย Executium จาก unsplash 2.ที่ 1 โดย blickpixel จาก pixabay3.ที่ 2 โดย pixel2013 จาก pixabay4.ที่ 3 โดย andibreit จาก pixabay5.ที่ 4 โดย Bru-nO จาก pixabay6.บริษัทวันด้าผู้ออกเหรียญวี WE [รูปด้านล่าง ได้รับการอนุญาตให้นำมาใช้]อนึ่ง ผู้เขียนมิได้รับการว่าจ้างจากบริษัทวันด้า หรือ เป็นหนึ่งในพนักงงานประจำของวันด้าแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจเหรียญดิจิทัลเท่านั้น เพราะฉะนั้น บทความนี้จึงถือเป็นการให้ความรู้หาใช่หนึ่งในโครงการที่วันด้าจะริเริ่ม ด้วยเหตุนี้ ลิขสิทธิ์ในบทความนี้ยังคงเป็นของผู้เขียน หาได้มอบแก่วันด้าโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด เว้นแต่ จะได้ตกลงกันเป็นหนังสือ เท่านั้น อัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !