เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสขับรถออกไปทำธุระในเมืองแล้วบังเอิญได้เห็นซุ้มโปรโมทของมือถือยี่ห้อหนึ่ง นอกจากจะมีกลุ่มพริตตี้และพิธีกรหน้าตาสวยๆหล่อๆแล้ว ก็ยังมีหุ่นผ้าตัวอ้วนกลมน่ารักที่ยืนเต้นดุ๊กดิ๊กส่ายไปมาอยู่ด้วย ความน่ารักของเจ้ามาสคอทตัวนี้ทำให้เด็กๆที่มากับผู้ปกครองหลายคนเข้ามามุงดู แตะต้องสัมผัส ขอถ่ายรูปเก็บไว้ นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาจับไม้จับมือกันไม่น้อยไปกว่าพวกเด็กๆเลย นี่เป็นภาพบรรยากาศทั่วไปที่เราสามารถจะเห็นได้ในงานอีเว้นท์โฆษณาสินค้า แต่คุณรู้หรือไม่คะว่า ความน่ารักที่เราคุ้นเคยกันนี้ มีอะไรมากกว่าที่เราคิด ความน่ารักจากธรรมชาติเคยสงสัยกันรึเปล่าคะ ว่าทำไมคนเราถึงต้องชอบอะไรที่ดูน่ารัก ดูอ่อนโยน ดูเป็นมิตร เห็นลูกหมาลูกแมว หรือตุ๊กตาตัวนุ่มขนฟู แล้วต้องกรีดร้องพ่ายแพ้ให้กับความน่ารัก ก็เพราะว่าพันธุกรรมของเรานั่นเองค่ะที่เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมทั้งหมดของเรา ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ลูกสัตว์ทุกชนิดมีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า "Neoteny" ซึ่งเป็นลักษณะที่วัยผู้ใหญ่หรือสัตว์โตเต็มวัยจะไม่มี นั่นคือ ส่วนหัวที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับสัดส่วนร่างกาย ดวงตากลมโตมีความวาวแววแป๋วแหวว ปากนิดจมูกหน่อย ลำตัวสั้น แขนขาเล็กบอบบาง ผิวหนังนิ่มนวล ขนลำตัวน้อยและนุ่มฟูมีความปุกปุย เอาให้เห็นภาพง่ายๆ มองหาเด็กทารกแถวๆนั้นซักคนหรือนึกถึงลูกหมาลูกแมวซักตัว คุณจะสามารถเห็นลักษณะ Neoteny ทั้งหมดที่กล่าวมาเลยค่ะ ลักษณะดังกล่าวจะกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ในตัวของเราขึ้นมา และเกิดความรู้สึกอยากปกป้องทนุถนอม โอบกอด เลี้ยงดู ทั้งมนุษย์และสัตว์ชนิดอื่นๆล้วนมีสัญชาตญาณปกป้องเชื้อสายของตนเองอยู่ในตัว เราจึงมีแนวโน้มที่จะชอบอะไรที่ดูน่ารัก อ่อนเยาว์ มากกว่าสิ่งที่ดูโตแล้วนั่นเอง แต่นอกเหนือจากความน่ารักที่ทำให้คนเราหลงใหลแล้ว ย้อนไปในอดีต มนุษย์ในยุคโบราณยังมีวัฒนธรรมการเลียนแบบลักษณะและพฤติกรรมของสัตว์ป่าต่างๆในธรรมชาติ เนื่องจากสัตว์ป่าหลายชนิดมีความสามารถและประสิทธิภาพของร่างกายที่มนุษยไม่มี เช่น ความจงรักภักดีต่อฝูงของหมาป่า การมองเห็นในที่มืดแบบแมว สายตาที่เฉียบคมของนกอินทรี ความสง่างามของกวาง หรือ พละกำลังแข็งแรงของควายป่า เป็นต้น ทำให้มนุษย์ในยุคโบราณหลายๆเผ่ามีการบูชาเซ่นไหว้หรือยกเอาสัตว์ชนิดนั้นๆเป็นต้นกำเนิดและตัวแทนของเผ่า พร้อมทั้งมีตำนานกล่าวขานต่างๆ นัยว่าเพื่อให้รู้สึกฮึกเหิมและมีกำลังใจในการต่อสู้ ความเชื่อโบราณเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ในรูปของการนำสัตว์มาดัดแปลงเป็น "สัญลักษณ์" หรือที่เราเรียกว่า "มาสคอท" (Mascot) นั่นเอง แต่สัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเข้มแข็งและความมีพละกำลังมักจะถูกใช้ในการเมือง การทหาร วงการกีฬา หรือวงการอื่นๆที่ต้องการสื่อถึงความมีอำนาจ แต่เนื่องจากในบทความนี้เน้นพูดถึงเรื่องความน่ารัก จึงขอพักด้านห้าวๆนี้เอาไว้เพียงแค่นี้นะคะ ความน่ารักที่ขายได้ด้วยพฤติกรรมแพ้ทางความน่ารักของพวกเราๆท่านๆนี่เอง ทำให้บรรดาบริษัทและผู้ผลิตสินค้าบริการต่างเริ่มหันมาสนใจสิ่งที่เรียกว่า "พฤติกรรมผู้บริโภค" (Consumer's Behavior) และเริ่มที่จะเห็นว่า การเล่นกับพฤติกรรมผู้บริโภคนี่แหละ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ตลอดกาล แถมให้ผลตอบรับที่ดีเกินคาดอีกด้วย ดังนั้น บริษัทบางบริษัทจึงเริ่มที่จะคิดค้นหรือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีรูปลักษณ์ สีสัน เสียง กลิ่น ให้ออกมา "น่ารัก" หรือ "ดูเป็นผู้หญิง" หรือมีความใกล้เคียงกับความเป็น Neoteny ที่สุด (แต่บางแบรนด์ก็เน้นความเป็นกลาง ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย เพื่อเพิ่มยอดขายจากกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนมากขึ้น) เช่น อ้วน กลม ฟู นุ่มนิ่ม สีพาสเทลหวานๆ หรือสีสันสดใส หอม ฯลฯ และช่างเป็นความเหมาะเจาะลงตัวอะไรเช่นนี้ เนื่องจากในสังคมของมนุษย์นั้น สัดส่วนปริมาณของผู้หญิงต่อผู้ชายนั้นมากกว่าหลายเท่า!!!!!! ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพศไหนกันที่ชื่นชอบความน่ารักมากกว่ากัน (เผื่อมีเพศชายที่ชอบความน่ารักอีก เอ้า กำไรเห็นๆ!!!!) ดังนั้น จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ล้วนมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย (ยกเว้นสินค้าสำหรับเพศชายโดยเฉพาะ) เนื่องจากเพศหญิงมีแนวโน้มจะซื้อของจุกจิกมากกว่าเพศชาย และสังเกตได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดมักมีสินค้าสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและนอกจากการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความน่ารักแล้ว ยังพบว่า การมี "มาสคอท" เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์นั้น สามารถช่วยเพ่ิมยอดขายให้เพิ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการมีมาสคอททำให้ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า แบรนด์มีความเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย และไม่เป็นเรื่องไกลตัวจนเกินไป ลูกค้าบางท่านเกิดความเขินอายที่จะเข้าซื้อสินค้า แต่เมื่อมีมาสคอทมายืนโบกยืนทักทายก็เกิดความใจอ่อนหรือความกล้าที่จะเดินเข้าไปดูสินค้ามากขึ้นด้วย มาสคอทนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น "ตัวนำโชค" ก็ยังได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เห็นจะเป็นเจ้าหมีความน่ารักยียวนกวนประสาท "คุมะมง" (Kumamon) ที่เป็นมาสคอทของจังหวัดคุมามาโตะ ประเทศญี่ปุ่น เจ้าหมีควายแก้มแดงตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในการประชาสัมพันธ์รถไฟชิงกันเซ็งสายคิวชู เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และหลังจากนั้น เจ้าคุมะมงก็ได้กลายเป็นขวัญใจของชาวญี่ปุ่นมากมาย จนเกิดการผลิตสินค้าที่มีลิขสิทธิ์เจ้าคุมะมงซึ่งทำรายได้ให้กับจังหวัดคุมาโมโตะอย่างล้นหลามทีเดียวนอกจากนี้ วัฒนธรรม "คาวาอี้" (Kawaii-น่ารัก) ในญี่ปุ่นกลายเป็นสิ่งที่กำลังบูมอยู่ในขณะนี้ แฟชั่นความแบ๊วถูกส่งออกกลายเป็นกระแสเจป๊อบคัลเจอร์ (Japan Pop-Culture) ยุคใหม่ที่แม้แต่ชาวตะวันตกยังต้องจับตามอง เพราะเทรนด์ต่างๆในปัจจุบันต่างได้อิทธิพลจากความเป็นญี่ปุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว วัยรุ่นฝั่งอเมริกาและยุโรปเริ่มหันมาสนใจวัฒนธรรมคาวาอี้นี้มากยิ่งขึ้น หรือประเทศไทยเราก็ยังมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบการแต่งตัวคอสเพลย์ตามการ์ตูนดังให้เห็นกันบ่อยๆการแต่งตาให้กลมโต ใส่คอนแทคเลนส์บิ๊กอายสีอ่อน ทาปากให้อมชมพูวาวใส และแต่งชุดน่ารักๆ ก็เป็นอิทธิพลของ Neoteny และ Pop-Culture ด้วยเช่นกัน และกลายเป็นนิยามความสวยความงามที่เรียกว่า กำลังเป็นพิมพ์นิยมที่ฮ็อตสุดๆในยุคนี้ ซึ่งหากหญิงสาวคนไหนมีใบหน้าที่จิ้มลิ้มน่ารักก็จะได้รับความนิยมและกลายเป็น "เน็ตไอดอล" และแน่นอนว่า รายได้งามๆจะหนีไปไหน หากแบรนด์มาปิ๊งและจีบให้มาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาจึงจะเห็นได้ว่า ความน่ารักที่เราคุ้นเคย ไม่เป็นแค่เพียงลักษณะที่เห็นได้ด้วยตา หากแต่สามารถสัมผัส เข้าถึง อีกทั้งอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด หากมองให้ลึกลงไป ความน่ารักนั้นมีเรื่องราวยาวนาน สามารถสร้างรายได้และก่อให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ต่อผู้คนและโลกมากมาย ส่วนตัวนั้นมีความเชื่อว่า ความน่ารักทางสายตาอาจจะขายได้ในยุคสมัยนี้ แต่ความน่ารักทางใจจะสามารถขายได้ตลอดไปทุกยุคทุกสมัยเพราะความน่ารักนั้น...มิได้เพียงถูกจำกัดให้เห็นได้ด้วยตา หากแต่ทว่าถูกมอบให้แก่ผู้ที่มีกิริยาอาการและลักษณะนิสัยที่น่าเข้าถึงก่อให้เกิดความสบายใจเมื่อได้เข้าใกล้และยังยืนยาวกว่าความน่ารักที่มองเห็นได้ด้วยตาเป็นไหนๆ นั่นคือ "ความน่ารักทางใจ" ค่ะสวัสดีค่ะ ^ ^หนังสือที่ใช้อ้างอิง -เรื่องเล่าจากร่างกาย-500 ล้านปีของความรัก เล่ม 1-2-Japan is cool "ความเจ๋งมวลรวมประชาชาติ"-กล้าถาม กล้าตอบ ไขปัญหา 469 ปัญหาวิทยาศาสตร์คาใจแหล่งที่มาของรูปภาพ: Pinterestแอพพลิเคชั่นที่ใช้ตกแต่งรูป: Nichiบทความนี้เคยลงเอาไว้ที่เว็บไซต์ Storylog ซึ่งผู้เขียนเป็นผู้เขียนเองค่ะ