Little Women สี่ดรุณี (2019, Greta Gerwig) เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ปิดฉากทศวรรษของวงการภาพยนตร์ลงได้อย่างสวยงาม ผลงานกำกับของหญิงสาวผู้มากฝีมือที่เคยกำกับ Ladybird หรือผลงานการแสดงที่ทำได้ดีไม่แพ้กันใน 20th Century Women อย่าง Greta Gerwig ซึ่งผมโชคดีมากๆที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงกับทาง House Samyan อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับได้รับความสนใจจากคนเพียงแค่ไม่กี่กลุ่ม รวมถึงไม่สามารถรับชมได้ตามโรงภาพยนตร์อีกหลายแห่งซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ตอนนี้เลยไม่อยากให้ทุกๆคนพลาดภาพยนตร์น้ำดีอีกเรื่องไปเพราะ Little Women สามารถรับชมได้แล้วทาง True ID ในหมวดของหนังใหม่พรีเมี่ยม ส่วนตัวหนังจะเป็นยังไงนั้นไปอ่านบทความกันได้เลย(บทความรีวิวนี้จะไม่มีการสปอยล์ภาพยนตร์ แต่จะหยิบยกประเด็นต่างๆที่น่าสนใจมาพูดถึงพร้อมบอกเล่าความคิดเห็นส่วนตัวหลังดูจบ)เรื่องย่อ เมื่อน้องสาวคนสุดท้องอย่าง Elizabeth March (Eliza Scanlon) มีอาการป่วยที่กำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พี่ๆอีกสามคนที่ต่างคนต่างออกเดินไปตามเส้นทางของตนต้องกลับมาบ้านเกิดเพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่กับน้องสาว ไม่ว่าจะเป็น Jo March (Saoirse Ronan) ที่กำลังต่อสู้กับเส้นทางการเป็นนักเขียนหญิงในนิวยอร์ก Amy March (Florence Pugh) ซึ่งกำลังศึกษาต่อด้านงานศิลปะที่ปารีส และพี่สาวคนโตอย่าง Meg March (Emma Watson) ลูกสาวเพียงคนเดียวในตระกูลที่ได้แต่งงานพร้อมทั้งเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว การกลับมาเจอกันของทั้งสี่ทำให้พวกเธอหวนถึงอดีตในวัยเด็กอีกครั้งว่าครั้งนึงชีวิตมันเต็มไปด้วยสีสัน ความสุข รอยยิ้มมากว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีนักแสดงสมทบที่มากฝีมืออีกด้วยอย่าง Meryl Streep, Laura Dern และ Timothee Chalamet ที่เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงชายดาวรุ่งของยุคนี้เลยก็ว่าได้รีวิวประเด็นนึงที่ตัวภาพยนตร์ถ่ายทอดได้น่าสนใจมากๆคือ คำนิยามเพศหญิง ที่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นประเด็นที่ค่อนข้างถูกพูดมาตั้งแต่อดีตถ้ามองจากมุมของหนังสือแต่ Greta Gerwig นั้นสามารถทำให้เรื่องราวนี้ดูร่วมสมัยและตามทันสังคมยุคปัจจุบันได้จริงๆ บ่อยครั้งในสังคมเรายังคงถูกยัดความคิดที่ว่าเพศหญิงคือช้างเท้าหลังของครอบครัวที่ไม่สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำได้ รวมถึงหนังสือสุขศึกษาบางเล่มของไทยที่ยังคงพร่ำสอนว่าหน้าที่ของผู้หญิงคือการทำงานบ้าน หรือเลี้ยงลูกซึ่งค่อนข้างล้าสมัย ในภาพยนตร์นั้นบ่อยครั้งที่เราจะได้ยินตัวละครต่างๆพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น ชายที่ Jo March นำหนังสือของตนไปเสนอแต่ถูกตีกลับเพียงแค่เพราะผู้หญิงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายในนิยาย หรือการที่ คุณป้าของตระกูลพยายามบอกว่าอนาคตที่ดีเริ่มจากการที่เราแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวยมีฐานะ สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะบอกนั้นถูกพูดผ่านตัวละคร Jo ได้อย่างกินใจ “Women have minds and souls as well as just hearts, and they’ve got ambition and talent as well as just beauty. And I’m sick of people saying love is all a woman is fit for.” ฉนั้นแล้วคำนิยามของเพศต่างๆไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเพศทางเลือกแล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็คือมนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์ที่มีความฝัน จิตใจ และความมุงมั่นที่ต้องการเดินไปในเส้นทางที่ตนเลือกเรื่องนี้มีการใช้โทนสีที่ค่อนข้างโดดเด่นในการเล่าเรื่อง ด้วยการทำให้ฉากอดีตมีสีที่ค่อนข้างสดและดูมีชีวิตชีวา ในขณะที่ฉากปัจจุบันจะออกไปทางโทนมืด หม่นหมอง เพราะแรงกดดันจากชีวิตและความไม่แน่นอนของอาการป่วยในน้องคนสุดท้อง ซึ่งทำให้คนดูสามารถเข้าใจฉาก การเล่าเรื่องได้อย่างดีโดยไม่สับสนในทิศทางที่หนังกำลังเดินไป โดยตัวภาพยนตร์นั้นจะใช้การเล่าเรื่องแบบคู่ขนานโดยการตัดสลับฉากไปมา ในส่วนของคอสตูมนั้นก็ทำได้ดีไม่แพ้กันที่เห็นได้อย่างเด่นชัดเลยคือตัวละครของ Jo March ที่แต่งตัวค่อนข้างเหมือนผู้ชายเพราะด้วยบุคลิกที่เธอต้องการต่อสู้กับขนบธรรมเนียม ความเชื่อเก่าๆ และแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นมีสิทธิ์ที่จะเลือกในทุกๆการกระทำไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว อาชีพ และอื่นๆในส่วนของการแสดงนั้นนักแสดงทุกคนคือเล่นแบบเข้าถึงบทบาทและเป็นธรรมชาติมากๆโดยเฉพาะฉากคุยกันของ Jo March และ Theodore Laurence (Thimothee Chalamet) ในบทสนทนาเกี่ยวกับความรักและการถูกรัก ซึ่งมันดูจริงมากๆ พี่น้องคนอื่นในฉาก Ensemble (รวมตัวละครหลายๆคนไว้ในซีนเดียว) ก็ทำได้ดี โดยเคมีของตัวละครสี่พี่น้องที่สนิทกันจริงมากๆ และ ทำให้ฉากมันดูเหมือนครอบครัวที่กำลังวุ่นาย สนุกสนาน แฝงไปด้วยความอบอุ่นความเห็นหลังดูจบ เป็นเรื่องที่ผมคาดหวังไว้ค่อนข้างสูงมากเพราะดาราที่ผมชอบมากอย่าง Saoirse, Thimothee, Florence อยู่ในเรื่องเดียวกันพร้อมกับผู้กำกับที่มีมุมมองที่ค่อนข้างน่าสนใจเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของผู้หญิงผ่านผลงานระดับรางวัลอย่าง Lady Bird ซึ่งผมรู้สึกอิ่มเอมมากๆกับสิ่งที่หนังมอบให้โดยเฉพาะความอบอุ่นจากครอบครัว March หลังจากผมดูจบนี่รีบหานิยายต้นฉบับของเรื่องนี้และลองอ่านดู ผมรู้เลยว่าสิ่งที่ Greta ทำไม่ใช่แค่เพียงเผยแพร่งานวรรณกรรมชั้นยอดให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสแต่ยังทำเพื่อเป็นการเคารพนักเขียนอย่าง Louisa May Alcott นักเขียนหญิงที่ถูกกดขี่ในชีวิตจริงในสายอาชีพไม่ต่างจากตัวละครของ Jo March ผมบอกได้เลยครับว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งใครที่สนใจสามารถรับชมได้แล้ววันนี้ ทาง True IDขอบคุณภาพทั้งหมดจาก True ID และ IMDBภาพหน้าปก /ภาพประกอบที่ 1/ ภาพประกอบที่ 2/ / ภาพประกอบที่ 3/ ภาพประกอบที่ 4